หลายท่านก็สงสัยว่าอาการแบบนี้เป็นมาหลายครั้งแล้ว และทุกครั้งกระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้ใส่ใจ ฟื้นขึ้นมาได้ก็ทำงานเหมือนเดิม เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ผมไม่ได้คิดไปข้างหน้า และไม่ได้คิดไปข้างหลัง ก็คืออดีตไม่เอา อนาคตไม่สนใจ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ทำหน้าที่ของเราให้เต็มที่ แล้วเราก็จะตอบตัวเองได้ว่า เราเต็มที่กับทุกอย่างแล้ว ที่กระผม/อาตมภาพใช้คำว่า แหงนหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน เต็มที่กับทุกอย่างแล้ว จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เราก็ตอบตัวเองได้แล้ว
คราวนี้การที่เป็นคนมีวันนี้วันเดียว ทำให้เราไม่ประมาท กำลังใจต้องเกาะพระหรือเกาะพระนิพพานเอาไว้เสมอ ยิ่งตอนป่วยหนัก ๆ ยิ่งชัดเจนมาก ท่านทั้งหลายที่เป็นนักปฏิบัติมาระยะหนึ่ง ถ้าหากว่าเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ ระดับเฉียดเป็นเฉียดตาย หรือว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้น จะรู้ว่าต้นทุนของตัวเองมีเท่าไร เพราะว่าในภาวะฉุกเฉิน กำลังใจทั้งหมดของเราจะรวมตัวกัน เราจะบอกตัวเองได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้พร้อมที่จะตายหรือยัง ? เพราะเห็นอย่างชัดเจนว่าต้นทุนของตัวเองมีเท่าไร
ดังนั้น...สำหรับนักปฏิบัติธรรมแล้ว เรื่องของความเจ็บ ความป่วย ความตาย จึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่เป็นเรื่องของการทดสอบ เป็นเครื่องวัดผลการปฏิบัติของเราว่าทำไปได้เท่าไร ทำไปถึงไหนแล้ว ?
ในระยะแรก ๆ ด้วยความที่สติ สมาธิ ปัญญา ยังไม่เพียงพอ เคยปวดท้อง เข้าห้องน้ำไปก็บิดไปบิดมา ปวดไม่เลิก ไปโอดครวญอยู่กับร่างกายอยู่พักใหญ่ กว่าที่จะนึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าตายตอนนี้เราแย่แน่ เพราะกำลังใจไม่ได้เกาะความดีเลย มัวแต่ไปทุกข์ทนกับอาการเวทนาที่เกิดขึ้น จึงต้องรีบส่งใจไปเกาะพระ ส่งใจไปเกาะพระนิพพาน
แต่ว่าพอซักซ้อมไปบ่อย ๆ ความเคยชินก็ทำให้ไม่เผลอแบบนั้นอีก จะมีการเกาะพระ หรือว่าเกาะพระนิพพานเป็นปกติ ถึงเวลาเมื่อไร สภาพจิตเคยชินก็จะวิ่งไปตรงนั้น ซึ่งตรงจุดนี้ลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงจะทราบดี ที่หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านบอกอยู่เสมอว่า มโนปุพพังคมา ธัมมา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มโนเสฏฐา สูงสุดก็ที่ใจ มโนมยา สำเร็จก็ที่ใจ จิตสุดท้ายเกาะอะไรก็ไปอย่างนั้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-10-2021 เมื่อ 16:35
|