ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาก็เลยมีการแสดงแสนยานุภาพ แต่ปรากฏว่าจัดทัพไม่ดี มาทีไรก็ต้องหามกันกลับไปทุกที..! ก็ทำให้เข็ดหลาบไปได้ระยะหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไป เริ่มลืม ๆ เลือน ๆ แล้วว่าเคยเจ็บตัวแบบไหน โดนเพื่อนยุเข้าก็มาใหม่ เมื่อเป็นเช่นนี้บ่อย ๆ กระผม/อาตมภาพถึงสรุปได้ว่า "คนเราไม่กลัวความดี กลัวแต่คนที่ชั่วกว่า"
ผมเคยจัดการเสียจนสลบไสล แล้วแบกไปส่งที่บ้าน บอกพ่อเขาที่มารับว่า "สั่งสอนลูกให้ดี ถ้าไปเจอคนอื่นอาจจะถึงตายไปแล้ว" ซึ่งอีกฝ่ายเถียงไม่ได้ เพราะรู้ว่าความประพฤติของลูกตัวเองเป็นอย่างไร
ในเมื่อโลกเราเป็นเช่นนี้ เราจะจำเป็นที่ต้องชั่วกว่าจริงหรือ ? ไม่จริง..เราก็ยังคงประพฤติปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาของเรา เป็นคนดีด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ได้ตามปกติ แต่สิ่งหนึ่งประการใดที่จำเป็นต้องใช้ความเด็ดขาดก็ต้องมี เพราะถ้าหากว่าไม่มี คนอื่นจะไม่เกรงใจ
ดังนั้น...ในเรื่องของพระเดชและพระคุณจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูกาละ ดูเทศะให้ดี ว่าเวลาหรือสถานที่เหมาะสมที่จะใช้แบบไหน ไม่อย่างนั้นแล้วโดยเฉพาะญาติโยมทั่วไปที่ทำการทำงานอยู่ การเป็นคนดีไม่มีปากมีเสียงกับคนอื่นนั้น มักจะโดนเพื่อนฝูงเอาเปรียบ บางทีก็ต้องหัดแยกเขี้ยวกางเล็บให้เขาดูบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วคนอื่นก็จะไม่เกรงใจ
วันนี้รู้สึกว่าจะแนะนำออกนอกลู่นอกทางมากไปหน่อย เวลาก็พอสมควรแล้ว จึงขอยุติลงแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๑๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 13-10-2021 เมื่อ 07:05
|