ตรงนี้อาตมภาพเคยพูดไปแล้วครั้งหนึ่ง ขอตอกย้ำเพื่อความเข้าใจให้ชัดเจนว่า ทุกองค์กรมีวัฒนธรรมและระเบียบปฏิบัติของตนเอง ถ้าหากบอกว่าพระพุทธเจ้าปิดกั้น ขอบอกว่าท่านไม่ได้ปิดกั้น เพราะว่าหลักธรรมของพระองค์ท่าน ใครประพฤติปฏิบัติ ก็ย่อมได้รับผลตามวาสนาบารมีของตนเอง แล้วทำไมคุณซึ่งเป็นเพศที่สาม ถึงต้องดิ้นรนเข้ามาบวชด้วย ? นอกจากสนองกิเลสตัวเองว่ากูทำได้..! ในเมื่อเป็นฆราวาสก็สามารถบรรลุธรรมได้ กฎเกณฑ์กติกาน้อยกว่าด้วย
ประการต่อไป คุณบวชเข้ามา คุณมั่นใจไหมว่าจะสามารถทำตัวอยู่ในกรอบของพระธรรมวินัยได้ ? ก็เห็นมีแต่ไปทำให้เสียหายจนกระทั่งโดนคนประณามว่าเป็น "พระตุ๊ด พระแต๋ว"
ในเมื่อเราไม่สามารถที่จะสำรวมจริตจริยาให้สังคมทั่วไปยอมรับได้ แล้วสังคมพระ ซึ่งเป็นปูชนียบุคคลที่คนให้ความเคารพ คุณมั่นใจแล้วหรือว่า คุณจะอยู่แล้วสามารถสำรวมให้คนเคารพได้ ?
เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องของการมาเรียกร้องสิทธิ การเรียกร้องความเสมอภาคตามรัฐธรรมนูญ คุณเรียกร้องได้ แต่ว่าทุกหน่วยงานมีระเบียบ มีวินัย มีกฎหมายของตนเอง คุณอยากจะอยู่กับเขาได้ ต้องศึกษาแบบธรรมเนียมของเขาจนกว่าจะทำได้
โดยเฉพาะอุปัชฌาย์อาจารย์ โดยรากศัพท์ อุปัชฌาย์ แปลว่า ผู้เพ่งดู ส่วนที่ต้องดูให้ชัดที่สุดคือ คุณเข้ามาแล้วจะสร้างความเสียหายให้กับพระศาสนาหรือเปล่า ? ในเมื่อมีโอกาสจะสร้างความเสียหาย พระอุปัชฌาย์ย่อมตัดไฟแต่ต้นลม ไม่ยอมให้คุณบวช
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-08-2021 เมื่อ 01:37
|