เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จำเป็นต้องใช้สติเป็นอย่างมาก  ไม่เช่นนั้นแล้ว เราก็ไม่สามารถที่จะกำหนดรู้เท่าทันได้  บางทีก็ปล่อยให้กิเลสต่าง ๆ ชักจูงเราไปเสียไกล   ดังนั้น..การปฏิบัติทั้งหมด  แม้กระทั่งในอินทรีย์  ๕ พละ  ๕  ที่ว่าไว้ในวันก่อน  อรรถกถาจารย์ ท่านกล่าวไว้ว่า  
 
ศรัทธากับปัญญาต้องเสมอกัน  ถ้าหากว่าศรัทธาล้นเกินปัญญา  ก็จะมีแนวโน้มเชื่อใจได้ง่าย โดนหลอกลวงได้ง่าย  วิริยะและสมาธิต้องเสมอกัน  ไม่อย่างนั้นแล้ว  ท่านบอกว่าปฏิบัติไปแล้วจะไม่ได้ผล  เพราะว่าจะเน้นหนักจนกลายเป็นทรมานตนเอง  แต่ในส่วนของสติ  ท่านบอกว่ามีมากเท่าไรก็ดีเท่านั้น  ไม่ต้องไปปรับให้เสมอกับธรรมตัวอื่น  
 
เมื่อกล่าวมาดังนี้  เราจะได้เห็นความสำคัญว่า   การมีสตินั้นเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะว่าจะเป็นตัวผู้ดู  ผู้รู้  ผู้ที่กำหนดคุมเกมต่าง  ๆ แก่เรา  ถ้าหากว่าละเอียดไปอีกก็เป็นผู้แยกแยะ ว่าส่วนใดดีส่วนใดชั่ว  แล้วก็ละชั่วทำดี เพื่อสร้างความเจริญให้เกิดแก่เรา   
 
ตัวที่สองท่านเรียกว่า ธัมมวิจยะ การแยกแยะในธรรม โดยเฉพาะการรู้เหตุ รู้ผล  ส่วนใหญ่แล้วพวกเราไม่ค่อยจะรู้เท่าทันในเหตุ  อย่างเช่นการปฏิบัติสมาธิของเรา เราก็ทำไป  พอสมาธิทรงตัวตั้งมั่น  มีความสุขมาก  แต่ก็ไม่ทราบว่าสมาธิที่ทรงตัวนั้นเกิดจากอะไร ?  รู้แต่ผลว่าจิตใจตั้งมั่น  ไม่ฟุ้งซ่าน  มีความสุข เราเองก็กินผลนั้นไปเรื่อย  จนกระทั่งผลนั้นหมดไป  แล้วก็ไม่สามารถที่จะสร้างขึ้นมาใหม่ เพราะไม่รู้ว่าสร้างกันอย่างไร เข้าไม่ถึงเหตุนั้น  จนกว่าจะเปะปะไปทำถูกเข้าอีกที  ผลเกิดอีก ก็จะเสวยผลนั้นต่อไป  แต่ถ้าเราสามารถหาเหตุพบ  ถึงเวลาผลนั้นสลายไป เราสร้างเหตุใหม่ ผลนั้นจะเกิดขึ้นอีก     
 
อย่างเช่นว่า  เราต้องการละจากนิวรณ์  ๕ ที่มากวนใจเรา ไม่ว่าจะเป็นรูปสวย  เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศก็ตาม  ถ้าหากว่าเราสร้างสมาธิให้ทรงตัวตั้งมั่น  เป็นปฐมฌานขึ้นไปได้ ก็จะสามารถระงับดับนิวรณ์ทั้งหลายลงได้ชั่วคราว  ผลก็คือ  จิตที่ว่างจากนิวรณ์ มีความสงบ เยือกเย็น  แจ่มใสอย่างบอกไม่ถูก   ถ้าเรารู้จักวิจัยหาเหตุ ก็จะเห็นว่า เหตุนั้นก็คือสมาธิที่ทรงตัว  เมื่อรู้ดังนั้น  ถ้าหากว่าจิตใจเริ่มไม่ทรงตัว เราก็ภาวนาทรงสมาธิใหม่ ก็แปลว่าเรารู้จักสร้างเหตุให้ผลนั้นเกิดขึ้น 
 
ในส่วนของอื่น ๆ ก็เช่นกัน ถ้าเราสร้างเหตุที่ดี  ผลดีก็เกิดขึ้น  เว้นเหตุที่ชั่ว ผลชั่วก็ไม่เกิดขึ้น  ธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์ จึงเป็นเครื่องที่ช่วยให้เข้าสู่การตรัสรู้ได้  อย่างเที่ยงแท้แน่นอน 
 
ข้อต่อไปก็คือ วิริยะ  วิริยะนั้น เรากำหนดในความเพียรของสัมมัปปธาน  ๔  ดังที่ได้กล่าวมาในวันก่อน  ก็คือเพียรในการละชั่ว เพียรในการระมัดระวังความชั่วไม่ให้เกิดขึ้น  เพียรในการทำความดี   เพียรในการรักษาความดีให้อยู่กับเรา ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้  
 
เราจะเห็นได้ว่า  ในธรรมะของแต่ละหมวดนั้น  กล่าวไปแล้วมีส่วนเชื่อมโยงเข้าหากันหมด  ไม่ว่าจะเป็นอิทธิบาท  ๔  สัมมัปปธาน ๔  สติปัฏฐาน  ๔ อินทรีย์  ๕  พละ  ๕ แล้วมาโพชฌงค์  ๗  ส่วนของความเชื่อมโยงจะมีในแต่ละหมวด  ในแต่ละข้อ
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
				........................ 
 
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง 
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
			 
		
		
		
		
		
			
				  
				
					
						แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-02-2010 เมื่อ 03:32
					
					
				
			
		
		
		
			
			
			
			
			
			
			
			
			
			
				
			
			
			
		 
	
	 |