แต่ว่ากระผม/อาตมภาพก็มองภาพในแง่ร้ายที่สุดไว้แล้วว่า อย่างแย่ที่สุดก็คือต้องปิดวัด ๓ อาทิตย์ เหตุที่ต้องปิดวัด ๓ อาทิตย์ ก็เพื่อให้มั่นใจว่าปลอดเชื้อจริง ๆ ซึ่งการวางแผนการทั้งหลายเหล่านี้ที่จะบริหารจัดการ หรือว่ารับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ นั้น เราต้องมองในแง่ที่ร้ายที่สุด
ดังที่หลายท่านซึ่งจะทำกิจการ ทำธุรกิจ แล้วมาปรึกษาหารือ อาตมภาพฟังเสร็จเรียบร้อยแล้วก็นั่งกุมหัว ถ้าอย่างที่โยมวางแผนตั้งใจทำงาน ถ้าไม่ใช่คนที่ทำบุญมาดีจริง ๆ รับประกันว่าเจ๊งแน่..! เพราะโยมไปคิดว่า ถ้าเราทำวันหนึ่งได้เท่านี้ เดือนหนึ่งจะได้เท่านี้ ปีหนึ่งจะได้เท่านี้ ไม่ได้มีการคิดล่วงหน้าไว้ก่อนเลยว่า "ถ้าเกิดความผิดพลาด ไม่เป็นไปตามเป้าหมายแล้วจะแก้ไขอย่างไร ?"
ดังนั้น...ไม่ว่าใครจะมีกิจการใหญ่เล็กขนาดไหนก็ตาม สิ่งแรกที่ต้องคิดเลยก็คือว่า ถ้ากิจการไม่เป็นไปตามแผน เราจะแก้ไขอย่างไร ? จะดึงใครเข้ามาแก้ไขปัญหา ? จะเอางบประมาณจากตรงไหนมาอุดหนุน ? จะมีแนวทางไหนที่จะถอยจากตรงนี้เพื่อที่ก้าวขึ้นหน้าไปใหม่ ?
ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายตอบคำถามเหล่านี้ได้ ก็สามารถเปิดกิจการได้ แต่ถ้าตอบปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ เปิดไปก็เจ๊งเปล่า ไม่เชื่อลองถามแม่ชีเกรซ (อุบาสิกาเกสรมณี จารย์ไธสงค์) ดูก็ได้ เพราะว่าเราไม่ได้คำนวณในแง่ที่ร้ายที่สุด โดยเฉพาะสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ต้องบอกว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะว่าเดือดร้อนไปทั้งโลก..!
วันนี้ได้ยินองค์ในหลวงรับสั่งกับคณะรัฐบาล ก็เห็นผงกหัวกันเป็นนกหัวขวาน..! แต่ฟังเข้าหูหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ที่พระองค์ท่านตรัสว่า "จะต้องมีความรู้จักโรค จะต้องมีระบบการจัดการ จะต้องมีวิธีการจัดการที่ถูกต้อง จะต้องมีงบประมาณลักษณะอย่างไรบ้าง" ที่พระองค์ท่านตรัสมานั้น ครอบคลุมวิธีการแก้ไขปัญหาทั้งหมด
แต่ถ้าหากว่าในสายตาชาวบ้านทั่วไปก็คือ ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้ทำอะไรที่ถูกต้องสักอย่าง ก็เป็นเรื่องปกติที่ว่า ชาวบ้านบางส่วนอาจจะโกรธแค้น เพราะว่าเหมือนกับโดนปล่อยให้ตายแบบไร้การช่วยเหลือ..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 12-08-2021 เมื่อ 17:48
|