ในเมื่อเห็นไม่เหมือนกัน จึงบัญญัติลัทธิขึ้นมาต่างกันไปตามความเห็นของตน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายเหล่านี้จึงกลายเป็นของจริง ของแท้ แต่ยังไม่ใช่เพชรยอดมงกุฎ
เพราะว่าบางศาสดาอย่างท่านอารกะ ตรงนี้มาจากสัตตกนิบาต อังคุตตรนิกาย อรกสูตร ท่านเปรียบเอาไว้ว่า
ชีวิตเหมือนกับต่อมน้ำ ก็คือฟองน้ำที่ผุดขึ้นมาตอนฝนตกหยดลงไป ก็จะแตกหายไปในเวลาอันรวดเร็ว
ชีวิตเหมือนกับน้ำค้าง โดนแดดเผา ก็ระเหยหายไปในเวลาอันรวดเร็ว
ชีวิตเหมือนก้อนน้ำลายที่ติดอยู่ปลายลิ้นบุรุษผู้มีกำลัง จะโดนถ่มทิ้งเมื่อไรก็ได้
ชีวิตเหมือนชิ้นเนื้อนาบไฟ รังแต่จะถูกเผาหมดไปในเวลาอันรวดเร็ว
ชีวิตเหมือนลำธารไหลลงจากภูเขา พรวดเดียวก็ผ่านหน้าไปแล้ว
ชีวิตเหมือนโคที่เขานำไปฆ่า ต้องตายแน่นอน
นั่นแค่ศาสดานอกศาสนาเท่านั้น เขาสามารถเห็นอนิจจังได้ แต่ตัวทุกขังเห็นไม่ชัด และไม่มีตัวอนัตตา ก็คือไม่เห็นทุกข์ กับไม่เห็นความไม่มีตัวตนเราเขา ในเมื่อท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีความรู้จริงอยู่ในระดับหนึ่ง ถึงจะไม่ใช่ระดับเพชรยอดมงกุฎ แต่ว่าถ้าเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปแล้ว ความรู้ความสามารถของท่านใช้ได้เลย
ดังนั้น...ที่บรรดาท่านทั้งหลายกำหนดให้สาวกของตนมีวันธรรมสวนะ คือวันฟังธรรม โดยกำหนดว่าเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ แรม ๑๕ ค่ำ หรือแรม ๑๔ ค่ำ ถ้าเดือนขาด แล้วก็เป็นวันขึ้น ๘ ค่ำ และแรม ๘ ค่ำ
สาเหตุนี้ ถ้าจะว่าไปแล้วก็เกี่ยวกับดวงดาวทั้งหลายที่โคจรอยู่ในห้วงอวกาศ โดยเฉพาะส่วนที่ใกล้โลกที่สุด ก็คือดวงจันทร์ เราจะเห็นว่าความเชื่อนี้ผูกพันกับจันทรคติ คือการโคจรของดวงจันทร์ น้ำจะขึ้นลงสูงสุดในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ หรือแรม ๑๕ ค่ำ หรือแรม ๑๔ ค่ำ ผู้หญิงจะมีรอบเดือนอยู่ในช่วงมาตรฐาน ๒๘ วันโดยประมาณ
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 02-08-2021 เมื่อ 23:36
|