ตรงจุดนี้ผมเคยกล่าวไว้ว่าเป็น "วงจรอุบาทว์" ของการเป็นเจ้าอาวาส เกิดจากการยึดติดของทั้งพระภิกษุสามเณรในวัดนั้นและญาติโยม เมื่อเจ้าอาวาสใหม่มาก็ไม่ค่อยยอมรับ เพราะว่ายังยึดมั่นถือมั่นในตัวเจ้าอาวาสเก่าอยู่
ถ้าเจ้าอาวาสใหม่ความรู้ความสามารถสู้เจ้าอาวาสเก่าไม่ได้ วัดจะโทรมทันตาเลย เพราะว่าไม่ได้รับความร่วมมือจากคณะสงฆ์ในวัดและญาติโยมที่อุปถัมภ์ค้ำจุนวัด ต่อให้มีความสามารถเท่า หรือมากกว่าเจ้าอาวาสเก่า เขาก็คิดถึงแต่รูปเก่า เพราะว่าอยู่ด้วยกันมานาน กว่าที่เจ้าอาวาสใหม่จะได้รับการยอมรับ ก็มักจะเป็นช่วงท้าย ๆ ของชีวิต อยู่มาไม่กี่ปี มรณภาพอีกแล้ว เจ้าอาวาสใหม่มาก็ตกอยู่ในสภาพเดิม ผมถึงได้เรียกว่า "วงจรอุบาทว์"
ดังนั้น...ในส่วนนี้ถ้าเป็นที่อื่นก็แล้วแต่เขา แต่ในวัดของเรา ควรที่พวกเราทั้งหลายจะเว้นจากความยึดมั่นถือมั่นตรงจุดนี้ แต่ให้ถือหลักธรรมเป็นใหญ่ก็คือ ใครจะมาทำหน้าที่ก็ดีแล้ว รับภาระไปเถอะ ตัวเราเองก็ปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ของเราให้เต็มที่ต่อไป มีกิจการงานอะไรก็ช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่
ถ้าเป็นอย่างนั้น ต่อให้เจ้าอาวาสใหม่ไม่มีความรู้ความสามารถเลย วัดวาอารามก็สามารถที่จะไปได้ จึงเป็นเรื่องที่พวกเราทั้งหลายจำเป็นที่จะต้องลดกิเลสในใจของเราลง คือความยึดมั่นถือมั่น ความอคติ ความมีตัวกูของกู ถ้าหากว่าสามารถทำดังนี้ได้ วัดเราก็จะมีอนาคตที่สดใสขึ้น แต่ถ้าหากว่าทำตรงนี้ไม่ได้ ขาดเจ้าอาวาสเดิมไปเมื่อไร เจ้าอาวาสใหม่ก็เดือดร้อนอีกตามเคย
ก็ขอเรียนถวายทุกท่านและเจริญพรให้แก่ญาติโยมได้ทราบแต่เพียงเท่านี้
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๒๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-05-2021 เมื่อ 01:17
|