รายต่อไปที่เกิดโดยโอปปาติกะ มีอยู่ ๒ ราย รายหนึ่งคือนางจิญจมาณวิกา ที่ไปตู่พระพุทธเจ้าว่าทำตัวเองท้อง นางจิญจมาณวิกานั้นเกิดจากโพรงต้นมะขาม ผุดขึ้นมาแล้วก็โตเลย อีกรายหนึ่งคือนางเวฬุวดี เกิดจากปล้องไม้ไผ่ เรื่องนี้ที่คนไทยเอามาดัดแปลงเป็นเรื่องนางยอพระกลิ่น ที่เขาบอกว่าเกิดจากกระบอกไม้ไผ่ ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ก็มาจากเรื่องนี้
แม้แต่มนุษย์เราก็เกิดโดยโยนิ ๔ ได้ครบถ้วนเหมือนกัน ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเทวดาจึงจะเป็นโอปปาติกกะ เป็นโอปปาติกกะในสภาพมนุษย์ก็ได้ เพียงแต่ว่าการเกิดนั้นพิเศษไปหน่อย
บางทีอ่านพวกอรรกถาฎีกาไปเยอะ ๆ บางอย่างก็เฝือ บางอย่างก็สนุก เพราะว่าอรรถกถาจะอธิบายพระไตรปิฎก อย่างพระไตรปิฎกบอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะกับพระนางสิริมหามายา เกิดที่กรุงกบิลพัสดุ์ พระไตรปิฎกอธิบายแค่นั้น อรรถกถาบอกว่าพระองค์ได้ศึกษาศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ จบในอายุ ๑๖ ปี อธิบายความเพิ่มเติมในส่วนที่ยังขาดอยู่ เช่นบอกว่าได้รับการศึกษา มีปราสาทสามฤดู ได้แต่งงานกับพระนางยโสธรา พระนางพิมพาเป็นเจ้าหญิงของโกลิยวงศ์ เป็นลูกของใคร เป็นหลานของใครก็อธิบายหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ ฉะนั้นตอนท้ายจึงเฝือ
ถาม : ยังไม่เข้าใจครับ จุดที่เป็นจุดแตกต่าง แยกระหว่างสังเสทชะและโอปปาติกะ คือ..
ตอบ : อันหนึ่งเกิดขึ้นโตเลย อันหนึ่งยังต้องมีระบบการสืบพันธุ์อยู่ ขณะเดียวกันยังสามารถที่จะมองเห็นได้ อย่างพวกหนอน เป็นต้น หรือไม่ก็ใช้เครื่องมือดูได้ แต่โอปปาติกกะ ถ้าเป็นโอปปาติกกะที่แท้จริง เราไม่สามารถจะใช้เครื่องมือดูได้...
พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ถาม-ตอบ ช่วงเย็น ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันเสาร์ที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๓
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2010 เมื่อ 16:39
|