จากรูปต้นไม้ที่มีโพรงอยู่นั้นมีเรื่องราวนะครับ หากจะถามกระผมว่าไปบึงลับแลแล้ว กระผมรับรู้เรื่องอะไรในความเป็นทิพย์บ้างหรือไม่ ก็ต้องขอตอบว่า "แน่นอนครับ"
กระผมเดินนำทุก ๆ ท่านไปตามเส้นทาง ทิ้งระยะห่างพอสมควรกับคณะคุณโยมทั้งหลาย จึงได้หยุดพักนั่งตรงแคร่ไม้ไผ่จุดที่สองที่คนสร้างได้สร้างเอาไว้ ตรงใต้โคนต้นไม้ใหญ่ที่มีโพรงดังในรูป.....ทันใดนั้นเอง....ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัว กำลังนั่งพักเพลิน ๆ ก็มีแสงสว่างแบบกระพริบ ๆ คล้ายไฟแฟลชจากกล้องถ่ายรูปพร้อมเสียงก้องในหูเบา ๆ (คนอื่นไม่เห็น คนอื่นไม่ได้ยิน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติของกระผม โดยเฉพาะเวลาใครส่งวัตถุมงคล หรือเวลากระผมเพ่งมองวัตถุมงคลต่าง ๆ จะมากจะน้อย จะชัดเจนหรือไม่ชัดเจนนั้น ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของกระผมขณะนั้นด้วย อันนี้กรุณาใช้วิจารณญาณของแต่ละท่านด้วยนะครับ อย่าเชื่อจนกว่าจะได้สัมผัสแบบกระผมและอย่าปฏิเสธว่ามันไม่จริงหรือเป็นไปไม่ได้ เรา ๆ ท่าน ๆ ในที่นี้ต่างก็เป็นนักปฏิบัติกันทั้งนั้น.....)
มันจึงทำให้กระผมมั่นใจว่า เทวดาท่านแสดงตนให้รู้ว่า ท่านอยู่ที่ต้นไม้ต้นนี้ กระผมจึงอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน เมื่อโยมเดินขึ้นมาจึงได้บอกว่า ทุกท่านให้อุทิศส่วนกุศลที่ทุกท่านตั้งใจมาดีแล้วเมื่อตอนทำวัตรเช้า และย้ำในข้อความเดิมที่เคยพูดกับคณะโยมว่า "เรามาทำไมและเราจะเอาอะไรมาให้ความเป็นทิพย์ที่นี่ได้บ้าง"
แสงแดดสาดส่องตัดกับความเขียวขจีของต้นไม้ใบหญ้าในเขตร้อนชื้น ทำให้ความร้อนภายในร่างกายพุ่งขึ้นสูง ต้องหมั่นสอบถามคณะโยมและหยุดพักเป็นช่วง ๆ เมื่อเรามาถึงจุดสูงสุด คราวนี้เส้นข้างหน้าก็เริ่มมีความลาดเอียงที่ต้องเดินไต่ระดับลงไป ด้วยสภาพป่าที่ร้อนชื้นและสภาพดินที่อุ้มน้ำ ทำให้ต้องเพิ่มความระมัดระวังขึ้นไปอีก น้ำหนักตัวที่บวกด้วยแรงโน้มถ่วงของโลก มันอาจจะนำร่างคนที่เดินแบบไม่ระวังลื่นพลาดท่าได้ง่าย ๆ มีหวังได้แบกกันกลับวัด จากประสบการณ์ที่ได้ไปกราบหลวงตาโมเช่มาแล้วนั้น ทำให้กระผมมีความชำนาญมากขึ้น แต่คณะโยมนั้นสิ งานนี้มีบางท่านบ่นมาแต่ไกล "หลวงพี่..นิมนต์ไปเถอะครับ กระผมรอตรงนี้ก็ได้ขอรับ"

ถ้ากระผมเป็นกรรมการฟุตบอลงานนี้เอาใบแดงไปเลย โทษฐานที่ทำให้พระเสียกำลังใจ