เน้นเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา
“... พระเราไม่มีความสงบเลยไม่มีความหมาย ว่างั้นเลยนะ ... สมบัติทางโลกเขา คือเงินทองข้าวของ ตึกรามบ้านช่อง สมบัติของพระก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคผลนิพพาน นั่น.. สมบัติของพระเป็นอย่างนั้นนะ นี่มันมาแย่งงานของโลกมาใช้ในวัดในวา ในพระในเณร เวลานี้ธรรมจึงหมดความหมายไปทุกวัน ๆ นี่ละ ที่เรียกว่ากิเลสมันเก่ง ดูเอาสิ... ไม่มีใครคิดนะ ว่ากิเลสเข้าตีตลาด ตีแบบไหน เวลานี้มันกำลังตีแหลกหมด ไม่เลือกว่าวัดว่าวา ประชาชนญาติโยม .. ตีแหลกไปตาม ๆ กันหมดไม่ได้ยกโทษ พูดตามหลักความจริง ...
เพราะแบบแผนตำรับตำราเครื่องยืนยันกันมีอยู่ นั่น..เอาอันนั้นออกมากางซี ... งานของพระไม่มีอะไรเกินการอยู่ในป่าในเขา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ที่อยู่ของพระผู้มุ่งต่อมรรคผลนิพพานตามทางศาสดาจริง ๆ ท่านสอนอย่างนั้นนี่นะ ... พูดตั้งแต่เรื่องการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ชำระกิเลส พอพระเข้ามาเฝ้าพระพุทธเจ้า จะรับสั่งทันทีเลย เป็นยังไงไปอยู่ที่นั่น นั่นหมายถึงว่าที่ภาวนานะ ไปอยู่ที่นั่นภาวนาเป็นยังไง จิตใจเป็นยังไง ... จากนั้นพระองค์ก็ประทานโอวาท.. ให้ประกอบความพากเพียรทั้งวันทั้งคืน ยืน เดิน นั่ง นอน ตลอดถึงการพักผ่อนก็บอกไว้หมด
ในอปัณณกปฏิปทาสูตร ท่านแสดงไว้เป็นสูตรจริง ๆ เอามาสวดมนต์อยู่นี่ ... อปัณณกปฏิปทาสูตร คือการปฏิบัติไม่ผิด ปฏิบัติโดยความสม่ำเสมอ คือตั้งแต่ปฐมยามไปให้ประกอบความเพียร จะเดินจงกรมก็ได้ จะนั่งสมาธิภาวนาก็ได้ พอถึงมัชฌิมยามก็พักผ่อนนอนหลับ พอปัจฉิมยามก็ตื่นขึ้นเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเรื่อย ๆ ไป ตอนกลางวันก็ทำนองเดียวกัน หากจะมีการพักผ่อนบ้างในตอนกลางวันก็พักได้ แต่ต้องระมัดระวังให้ปิดประตู รักษามารยาทในการพักนอน ท่านสอนไว้โดยละเอียดลออมากที่สุด...”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-08-2020 เมื่อ 16:57
|