ความหลากหลายของท่านทั้งหลายเหล่านี้ เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า หลักธรรมของพระพุทธเจ้านั้น สำคัญที่ว่าเราทำจริงแค่ไหน ถ้าหากว่าเราทำจริง ย่อมได้ผลจริงอย่างท่านทั้งหลายเหล่านั้น ท่านเป็นฆราวาส ทำไมถึงทรงฤทธิ์ทรงอภิญญาสมาบัติ แล้วท้ายสุดก็กลายเป็นพระอริยเจ้า พระโสดาบันบ้าง พระสกิทาคามีบ้าง พระอนาคามีบ้าง และพระอรหันต์บ้าง
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าขาดอิทธิบาท ก็คือหลักธรรมที่เป็นพื้นฐานของความสำเร็จ ก็ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้อย่างท่านที่ได้ยกตัวอย่างมา
ทุกวันนี้พวกเราปฏิบัติธรรม อาตมาเคยใช้คำว่า ทำเหมือนกับแก้บน ก็คือไม่ได้จริง ไม่ได้จังอะไร บุคคลที่ปฏิบัติธรรมจริงจัง ฉันทะ...ต้องพอเพียง วิริยะ...ความพากเพียรต้องเต็มเกินร้อย จิตตะ...กำลังใจปักมั่นอยู่กับเป้าหมายไม่เปลี่ยนแปลง วิมังสา...รู้จักไตร่ตรองทบทวนว่าเราทำอะไรเพื่ออะไร ? บัดนี้ทำไปถึงไหน ? ยังจะต้องทำจุดไหนเพื่อก้าวไปสู่จุดหมายของเรา ? เป็นต้น
คราวนี้ในส่วนนี้ของเรา เมื่อขาดอิทธิบาท ๔ เราก็จะไม่จริงไม่จังในการปฏิบัติ มีโอกาสที่จะเกิดโทษในการปรามาสพระรัตนตรัยอีกด้วย
ฉะนั้น...ขอให้ท่านทั้งหลายเพียรสังวรระวังไว้ โดยเฉพาะท่านที่ตั้งความปรารถนาในพระนิพพาน เท่ากับท่านกำหนดเป้าหมายสูงสุดเอาไว้แล้ว ถ้าหากว่าท่านไปไม่ถึงเป้าหมายนั้น ก็ต้องบอกว่าท่านอาจจะโดนบังคับ
ถามว่าบังคับอย่างไร ? ก็คือว่าบุคคลที่จะเข้าถึงพระนิพพานได้ ต้องเห็นทุกข์อย่างชัดแจ้ง ทำความเข้าใจว่าทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่ธรรมดา แล้วก็วางทุกข์นั้นลง โดยเห็นว่าเป็นภาระ หรือเป็นธรรมะที่มีมาพร้อมร่างกายนี้ ความทุกข์เป็นเรื่องของร่างกาย ไม่ใช่เรื่องของจิตใจ เป็นต้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2020 เมื่อ 16:57
|