คำพูดของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำทั้งหมดนี้ ความสำคัญอยู่ที่ประโยคสุดท้ายตรง “พระคอยบอก” เนื่องจากหลวงพ่อฤๅษีลิงดำพูดอยู่เสมอว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรด หรือเสด็จมาเพื่อทรงแนะนำให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ คนส่วนหนึ่งเกิดความสงสัยว่าเป็นไปไม่ได้ เมื่อนิพพานแล้วก็ต้องสูญ จะเสด็จมาทำไม หลวงพ่อคอยอึดอัดกับคำพูดเหล่านี้มาก จึงพยายามหาพยานบุคคลที่น่าเชื่อถือ เพื่อยืนยันในสิ่งที่ท่านพูด ก็เห็นหลวงพ่อพระราชกวี วัดโสมนัส ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพระโพธิญาณ เป็นพระจริงพระแท้ที่พูดความสัตย์ความจริง และอยู่คนละสาย คือหลวงพ่อฤๅษีลิงดำอยู่มหานิกาย ส่วนหลวงพ่อพระราชกวีท่านอยู่สายธรรมยุต โดยหลวงพ่อฤๅษีลิงดำพูดว่า
“ถ้าใครสงสัยที่อาตมาพูดว่าพระพุทธเจ้ามีจริง พระพุทธเจ้าบอกอย่างนั้น พระพุทธเจ้าบอกอย่างนี้ ถ้าจะบอกว่าพระพุทธเจ้าทรงนิพพานไปแล้ว มีความสูญ ขอให้ไปถามเจ้าคุณพระราชกวีได้ หรือไปถามคนที่เขาปฏิบัติได้ให้ได้จริง ๆ แล้วกัน ที่เขาทำทิพจักขุญาณได้ก็ดี ทำอภิญญาได้ก็ดี เขาตอบได้แน่นอน”
การเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของหลวงพ่อพระราชกวีโดยหลวงพ่อฤๅษีลิงดำครั้งนี้ อยู่ในช่วงสุดท้ายของหลวงพ่อพระราชกวีแล้ว คนทั้งหลายจึงบ่นเสียดายที่ท่านปกปิดตัวเอง ไม่ยอมแพร่งพรายให้สาธารณชนรับรู้ ตามคำยืนยันของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ จับใจความได้ว่า ท่านไม่ได้มุ่งพระอรหันต์ แต่มุ่งพระพุทธภูมิ
ท่านหลวงพ่อพระราชกวีไม่ละเลยในการอบรมสั่งสอนสานุศิษย์ของท่าน ให้รู้จักคำสอนแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ในหนังสือวิชาการทางพระพุทธศาสนาที่ทรงคุณค่ายิ่ง ที่ท่านตั้งชื่อว่า “สมณธรรม” เป็นแสงสว่างส่องทางเดิน หรือ สะพานทอดสู่มรรคผลนิพพานโดยตรง หากใครลงมือปฏิบัติตาม หรือปรารถนาจะบรรลุมรรคผลนิพพานในปัจจุบันชาตินี้ ก็สามารถที่จะลงมือปฏิบัติได้ด้วยตนเอง บอกรายละเอียดการปฏิบัติเบื้องต้น ทั้งสมถะและวิปัสสนาไว้ชัดเจน เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักปฏิบัติใหม่ ท่านผู้รู้ชมว่า นี่แหละคือของจริงของแท้ ที่ท่านเจ้าคุณราชกวีนำออกมาตีแผ่ ขอคัดมาให้อ่านบางตอนดังนี้
“พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีสติคือการนึกตั้งเฉพาะหน้า คราวนี้จะปรากฏความรู้สึก ๔ ประการ คือ นึกหรือระลึก เรียกว่าสติ รู้สึกชัดทราบชัดว่ากำลังนึกอยู่ เรียกว่าสัมปชัญญะ ทั้งนึกและรู้สึกตัวนึกอยู่นั้น ก็ยังมีธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง ลอดหรือเล็ดออกไปเกาะหรือนำซึ่งสิ่งใดอื่นมาปรากฏ หรือออกไปในที่ใด ๆ อื่น สิ่งนี้เรียกว่าจิตตะคือใจ กระนี้ก็ยังอาจไม่สงบได้ จึงต้องมีการกระทำให้มีอีก(ภาวนา) และการนี้เรียกว่ากรรมฐาน คือที่ตั้งการกระทำของสติสัมปชัญญะและใจ”
หลวงพ่อพระราชกวีเคยพูดกับศิษย์ของท่าน ที่ขอร้องให้ท่านช่วยสอนกรรมฐานแก่สาธุชน เพราะเห็นทำเลวัดโสมนัสเป็นสัปปายะ มีความเหมาะสมทุกประการ โดยท่านพูดว่า “ถ้าเราจะทำก็ทำได้ แต่เราไม่ทำ เขาให้เรามาเกิด ไม่ให้มาทำหน้าที่นี้” แสดงให้เห็นว่า ท่านรู้จักหน้าที่ของท่าน คือการบำเพ็ญเนกขัมมบารมีในชาตินี้ในฐานะพระโพธิสัตว์ ขณะเดียวกันก็เอื้อประโยชน์แก่สาธุชน ผู้ใฝ่ใจใคร่รู้แนวทางปฏิบัติให้บรรลุมรรคผลนิพพานตามหลักพระพุทธศาสนา
__________________
เมื่อนภาไร้เมฆบดบัง ทั่วทุกด้านสว่างไสว
ลมพัดโชยเรื่อย ๆ ไกล ขุนเขาไร้เสียงจำเนียงนรรจ์
วันนี้น่ายินดี หยุดชีวีที่ผูกพัน ไร้ทุกข์โศกในทุกวัน ทิ้งขันธ์ ๕ ไม่พบเจอ
ครูบาเจ้าชัยยะลังก๋าอรัญญาวาสีมหาเถร
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย หนุมานเชิญธง : 29-11-2009 เมื่อ 23:26
|