เราค่อย ๆ เดินไต่ระดับ ตั้งแต่ลาดเขาที่มีความชันตั้งแต่ ๓๕ องศา ไปจนถึงระดับ ๖๐ องศาเห็นจะได้ หลังจากผ่านสวนยางพารามาแล้ว สภาพป่าก็เปลี่ยนเป็นป่าดิบสลับกับป่าไผ่ ไม้ไผ่แต่ละลำเท่า ๆ โคนขาของกระผม ถ้าเอาไปทำข้าวหลามจะขายกระบอกละเท่าไหร่ดีนะ..? ๕๕๕๕๕๕ หิว..!
อากาศร้อนชื้นพาให้พื้นดินมันลื่น "ดอกรองเท้า" ของพวกเราเต็มไปด้วยดิน ฉะนั้นสภาพการยืดเกาะอย่าไปพูดถึง เผลอสติเมื่อไรมีหวังได้เห็น "พระลื่น..ฆราวาสล้ม" ไม่ทันขาดคำ โยมเทิดลื่นไปคว้าเอาต้นไผ่ไว้ทันให้ชมเป็นขวัญตาก่อนเพื่อน...

ขาไปเดินขึ้นยังไม่เท่าไร กระผมคิดล่วงหน้าไปก่อนแล้วว่า ขากลับจะต้องเล็งต้นไม้ต้นไหนบ้างเป็นที่พึ่ง....แต่ตอนนี้เอาตัวให้มันรอดไปถึงถ้ำก่อนดีกว่า...ทั้งร้อนทั้งเหนื่อย
เราเดินได้ประมาณระยะทาง ๑ ใน ๓ ส่วน ท่านฤๅษีท่านก็ทำสัญญาณมือบอกให้นั่งพักตรงจุดนี้ก่อน มองไปข้างหลัง อ้าว..! โยม ๆ หายไปไหนกันหมด..

ช่วงหลังเวลาผมจะเดินทางไปไหนมาไหน กรรมมันส่งผล กระผมมักจะเป็นฝีที่ขาก่อนอย่างน้อยสองวันเสมอ อย่างกับว่านัดกันเอาไว้ เดินขึ้นเขาพลางคิดในใจว่า เหนื่อยก็เหนื่อย เจ็บฝีที่ขาก็เจ็บ แต่ก็ถือว่าชดใช้ให้เจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นไป
หลังจากพักกันพอสมควร เราก็ออกเดินทางกันต่อขึ้นไป จนถึงจุดที่เป็นเหมือนเหวตื้น ๆ ที่พอจะประคองตัวลงไปตามลาดหิน ซึ่งจริง ๆ ก็เป็นแนวทางเดินดิ่งลงไป แล้วค่อย ๆ เป็นทางตรงผ่านแนวป่าอีกครั้ง ก่อนจะค่อยไต่ระดับความสูงขึ้นไปอีก ผ่านไปช่วงอึดใจยาว ๆ เราก็มาถึงทางออก คราวนี้เป็นหุบเขาหินปูน ตั้งตรงสูงตระหง่านล้อมรอบลานกว้างตรงกลาง ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจมาก ลมพัดผ่านเย็นสบาย มองไปบนเนินเห็นกระท่อม พวกเราจึงรีบเดินไปพักที่กระท่อม
ฤๅษีท่านชี้ให้เห็นปากถ้ำซึ่งซุกตัวอยู่ช่วงหน้าผา แสดงว่างานนี้ต้องเดินไต่ความสูงขึ้นไปอีก โยม ๆ เห็นเข้าถึงกับหน้าซีด อย่าว่าแต่โยมเลย กระผมและคณะหลวงพี่ยังตกใจเหมือนกัน ดีที่หลวงพี่แอ๋วท่านมาด้วย ท่านว่าอีกไม่ไกลแล้ว เดินขึ้นอีกช่วงเดียว ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายก็ได้ไปกราบ "หลวงตาโมเช่" ตามที่เราตั้งใจมากันแล้ว