รู้ว่าดีจึงทำ รู้ว่าชั่วจึงละ
สรุปว่าพวกเราที่ถักหมวกถวายพระมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งบัดนี้ ได้แค่สมาธิในส่วนของเจโตวิมุตติเท่านั้น ปัญญาไม่เกิด เหตุที่ปัญญาไม่เกิด เพราะว่าสติของเราไม่พอ พอทุ่มเทไปเรื่องหนึ่ง ก็จะลืมอีกเรื่องหนึ่ง
จริง ๆ แล้ว การทำงานทุกอย่างของพวกเรา ถ้าเอาใจจดจ่ออยู่กับงาน ก็จะเห็นร่างกายที่สักแต่ว่าทำเท่านั้น แต่คราวนี้จิตใจของเราไม่ได้จดจ่อแน่วแน่อยู่ที่สมาธิตรงหน้า บางทีก็คิดไปเรื่องนั้นด้วยเรื่องนี้ด้วย สิ่งนั้นทำให้ รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นมา แต่ถ้าหากสมาธิเราจดจ่ออยู่ตรงหน้า ทุกอิริยาบถเรารับรู้ได้อย่างสมบูรณ์ จิตก็จะตั้งอยู่กับอาการปัจจุบันเท่านั้น ไม่ไปปรุงแต่งให้เป็น รัก โลภ โกรธ หลง ตอนนั้นสิ่งที่เราทำก็จะสักแต่ว่าเป็นการกระทำเท่านั้น ไม่เกิดเป็นบุญหรือเกิดเป็นบาป ถ้าสามารถทำอย่างนี้ได้ตลอดเวลาก็รอดตัวไปเลย ไม่ต้องเกิดใหม่แล้ว
ทีนี้พวกเราตะกายตั้งหลายวันไปไม่ถึงสักที พยายามอีกนิดหนึ่ง เพิ่มสติขึ้นมาหน่อย ถ้ารับรู้อยู่กับอาการปัจจุบัน อาการเคลื่อนไหวอย่างไร จะล้วง จะควัก จะม้วนอย่างไร ก็รู้อยู่ตลอดโดยไม่ไปไหน จิตก็จะปรุงแต่งไม่ทัน เพราะว่ามาเต็มอยู่กับอาการตรงหน้าเสียแล้ว ตรงนี้แหละที่เป็นวิปัสสนาญาณจริง ๆ ก็คือ รู้เท่าทันในปัจจุบันอยู่ทุกขณะ สิ่งที่ทำก็เลยไม่เกิดกรรม ก็คือผลของการกระไม่เกิด สักแต่เป็นการกระทำเฉย ๆ ดีก็ไม่ดี ชั่วก็ไม่ชั่ว
ถาม : แล้วเป็นวิปัสสนาญาณตรงไหนครับ ?
ตอบ : ก็เป็นตรงที่รู้เท่าทันปัจจุบันอยู่ทุกขณะ ไม่ไปครุ่นคิดในอดีตและไม่ไปฟุ้งซ่านอยู่ในอนาคต
วิปัสสนา แปลว่า รู้แจ้งอย่างยิ่ง ส่วนที่รู้แจ้งอย่างยิ่ง ไม่มีอะไรรู้เกินกว่าการทำอย่างไรที่จะละวางทั้งดีทั้งชั่วได้ แรก ๆ คนเราส่วนใหญ่ก็จะติดดีก่อน แต่ว่าท้ายสุดจริง ๆ แม้แต่ดีก็ติดไม่ได้ เพราะถ้าติดก็ไปไหนไม่ได้
ตอนนี้อย่าเพิ่งทำข้ามขั้น เอาแค่ว่าดีเราต้องทำ ชั่วเราต้องละ แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำไปก่อน ถ้ากำลังถึงจริง ๆ จะรู้เอง ว่าเวลาที่เราทำดีนั้น เราทำสักแต่ว่าทำเท่านั้น เพราะเรารู้ว่าสิ่งนี้ดี แล้วเวลาเราละชั่ว เราก็สักแต่ว่าละเท่านั้นเพราะรู้ว่าสิ่งนั้นชั่ว ใจเราไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว แต่ว่าที่ทำดีเว้นชั่ว เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นธรรมชาติ เป็นส่วนที่จะส่งเสริมให้เราหลุดพ้นได้
ถาม : ถ้าอย่างนั้นการที่เรารักษาศีล เพราะเรารู้ว่าสิ่งนั้นไม่ดี แต่พอเราทำไม่ดี จิตใจเราก็คิดว่าเราทำไม่ถูก ก็แสดงว่าอารมณ์ใจวางไม่ถูกหรือครับ ?
ตอบ : ก็แปลว่าหมองแล้ว ที่วางไม่ถูกก็เพราะว่าจิตเกิดการปรุงแต่งขึ้นแล้ว ถ้าหากว่าทำโดยปราศจากการปรุงแต่ง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงก็สักแต่ว่าเป็นอาการเท่านั้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-04-2014 เมื่อ 12:47
|