ถาม :  อารมณ์ที่ควรจะเป็น  อารมณ์ที่จะพ้นทุกข์  เราต้องบังคับให้สว่างโพลงตลอดหรือคะ ? 
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องขนาดนั้น ถ้าสติไปอยู่เฉพาะหน้า จิตจะสว่างเอง แล้วก็จะเลือกเสพรับ  อะไรไม่ดีก็ตัดออก อะไรดีก็รับเข้ามา กลายเป็นละชั่วทำดีไปเรื่อย ๆ ท้ายสุดก็เหลือดีอย่างเดียว  พอมากกว่านั้นก็คือ ดีก็วางลงไปด้วย 
 
ถาม :  แล้วอารมณ์ตรงนี้  เรารู้สึกเหมือนเราปลอดภัยมาก ๆ  ปลอดภัยจากกิเลสตัณหาอุปาทานของตัวเราเอง   ? 
ตอบ : อันนี้ได้แค่พักเดียว เผลอเมื่อไรก็โดนกัดใหม่   ก็ต้องสร้างอารมณ์นี้ให้ต่อเนื่อง ก็คือประคองเอาไว้ ใช้สติคอยตามดูตามรู้   ถึงเวลาอะไรไม่ดีจะเข้ามาก็ละเสีย   อย่าไปสร้างเหตุนั้น ๆ  ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง  จมูกได้กลิ่น   ลิ้นได้รส กายสัมผัส   พยายามตัดอารมณ์ครุ่นคิดที่เกิดขึ้น  ถ้าเราไม่ไปปรุงไปแต่ง   ไม่ยินดียินร้าย โอกาสที่จะทำอันตรายเราก็ไม่มี  
 
ถาม : ไม่ใช่เอาฌานกดไว้ใช่ไหมคะ ? 
ตอบ : ไม่ใช่ ถ้ายังไปกดอยู่เราก็เหนื่อย  คราวนี้เราต้องใช้แล้ว 
 
ถาม :  ถือเป็นตัวปัญญาไหมครับ ? 
ตอบ :  รวมกันอยู่ในนั้นแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา แยกกันไม่ออก เพราะว่าขณะที่เราระมัดระวังศีล สมาธิก็เกิด เมื่อสมาธิเกิด สภาพจิตผ่องใส ปัญญาก็เกิด ปัญญาเกิดก็จะไปคุมศีลคุมสมาธิอีกที ไปด้วยกันทั้งหมดนั่นแหละ 
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
				........................ 
 
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง 
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
			 
		
		
		
		
		
			
				  
				
					
						แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-02-2020 เมื่อ 19:09
					
					
				
			
		
		
		
	
	 |