“ปรากฏว่าพระของเราเห็นพระอาจารย์เงียบไปนาน ท่านจึงส่องไฟฉายมา คราวนี้ท่านส่องแล้วเขย่า ๆ ไฟฉายเพื่อเป็นสัญญาณให้รู้ว่าเรียกหา อาตมาก็เห็นพระธุดงค์ท่านเต้นระบำได้ มองไปมองมา..นี่เงาเราเองนี่หว่า ? พอท่านเขย่าไฟฉาย เงาก็วูบไปวูบมา แล้วทำไมเมื่อครู่นี้ถึงเห็นได้ชัดขนาดนั้น ? ก็แปลว่าผีหลอก คราวนี้แคร่พัง สติอยู่กับตัวไม่ไปไหน นิ่งตลอด อยู่กับการนอนหัวทิ่มจนทนไม่ไหวค่อยขยับเปลี่ยนท่า เห็นผีต่อหน้าต่อตา รู้ว่าผีหลอกก็ยังเฉยด้วย เออ..ดีเหมือนกัน..!
ตั้งแต่นั้นมา ฟ้าถล่มดินทลายอย่างไรก็เฉย ๆ เพราะว่ารู้วิธีรักษาใจอยู่ภายในไม่ให้ส่งออกไปข้างนอก การที่เราตกใจเพราะว่าเราส่งใจออกนอกโดยไม่รู้ตัว พอถึงเวลาเกิดอะไรขึ้นก็ดึงเอาใจกลับมาเพื่อรับรู้ คราวนี้ดึงกลับมาเร็วเกินไป ร่างกายรับไม่ทันก็สะดุ้งตกใจ ดังนั้น..ถ้าเราภาวนาไป ฝึกซ้อมบ่อย ๆ เดี๋ยวก็ตายด้านไปหมดเองแหละ”
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 28-01-2020 เมื่อ 17:20
|