๗. กายกรรมบนเก้าอี้
อาตมาติดนิสัยชอบการห้อยโหนโยนตัวมาตั้งแต่เด็ก ขนาดขึ้นไปเล่นไล่จับกับพี่ ๆ น้อง ๆ บนยอดไม้เป็นประจำ ทำไมไม่ตกลงมาคอหักตายซะตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่รู้ อาจเป็นเพราะเคยเกิดเป็นลิงมาหลายชาติก็เป็นได้... โตขึ้นมาหน่อยก็เป็นแฟนหนังทาร์ซาน ติดใจ
นายจอห์นนี่ ไวท์สมุลเล่อร์เป็นที่สุด แล้วมาเป็นแฟนยอดหญิงยิมนาสติค
นาเดีย โคมานิซี่ มีการถ่ายทอดยิมนาสติคทีไร แทบต้องเอารถขุดมาขุดตัวจากหน้าจอทีวีเลยล่ะ... ความบันเทิงประเภทเดียวที่สามารถควักเงินจากกระเป๋าอาตมาได้ คือพวกกายกรรม หรือละครสัตว์อย่าง
อเมริกันเซอร์คัส นั้นอยากดูแต่ไม่ได้ดู เพราะบวชมาหลายพรรษาแล้ว ขืนแหกคอกไปดู มีหวังถูกขับออกจากวัดเป็นแน่แท้...
เมื่อมาฝึกกรรมฐานตามแนวของหลวงพ่อ จะด้วยเป็นวิสัยเก่า ๆ ที่ชอบหกคะเมนตีลังกาหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ทำให้อาตมาต้องมาเล่นกายกรรมซะเอง เป็นการเล่นที่เป็นเองโดยไม่ต้องมาเสียเวลาหัดซะด้วยซิ... ปกติอาตมาใช้คำภาวนาว่า
"พุทโธ" ซึ่งหลวงพ่อแนะนำว่าเป็นคำภาวนาที่ง่าย และมีผลใหญ่ถึงพระนิพพาน
พอมีเวลาว่างจากงานประจำ อาตมาจะฉวยโอกาสภาวนาทันที โดยไม่ยอมหายใจทิ้งเปล่า ๆ อย่างเด็ดขาด...
การภาวนาของอาตมานั้นแบ่งออกเป็นวันละสามเวลาคือ
เช้ามืดตื่นตีสาม ออกกำลังกายแล้วอาบน้ำอาบท่า สวดมนต์นิดหน่อย อ่าน
กรรมฐาน ๔๐ วันละบท พออารมณ์ทรงตัวก็จับคำภาวนา จนหกโมงเช้าถึงเริ่มทำงาน... รอบกลางวันพักเที่ยง เสียเวลาไปกับการกิน ๑๕ นาทีแล้วมุดเข้าไปใต้ท้องรถ จับอารมณ์ภาวนาใน
อนุสติ ๑๐ ประการ เริ่มจาก
อานาปานุสติที่เป็นแม่บทใหญ่ คือนึกถึงลมหายใจ เข้า ออก จนกระทั่งอารมณ์ทรงตัว... แล้วใคร่ครวญถึงความดีอันหาประมาณไม่ได้ของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย เรื่อยไปถึงความดีของเทวดา ว่าต้องทรงความดีเช่นไรจึงสามารถเกิดเป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นพระอรหันต์ วิสุทธิเทพได้... จากนั้นตรึกตรองถึงอานิสงส์ใหญ่ของการบริจาคให้ทาน และการรักษาศีล คิดถึงสภาพร่างกายที่มีแต่ความสกปรกโสโครก ไม่น่ารักน่าใคร่
ถ้าตายจากมันไปตอนนี้ เราขอไปพระนิพพาน จิตเกาะนิพพานเป็นจุดสุดท้าย... การภาวนาช่วงนี้มีเวลาแค่ ๔๕ นาที อารมณ์บางทีแนบแน่นจนแทบไม่อยากลุกไปทำงานเลย แต่ก็ไม่อาจจะอู้ได้ เพราะชักช้าแม้นาทีเดียว ตีนหนัก ๆ จะลอยมากระทบจนหลุดจากการภาวนาไปเอง...!
รอบค่ำร่างกายเหนื่อยมากแล้ว หลังจากบริหารร่างกาย อาบน้ำกินข้าวเรียบร้อยก็กราบพระ คิดตามที่หลวงพ่อสอนว่า
เราอาจจะตายตั้งแต่คืนนี้โดยไม่ได้เห็นวันใหม่ก็ได้ ถ้าเราตาย เราขอไปนิพพานแห่งเดียว... แล้วนึกถึงพุทโธ หงายหลังไม่ทันแตะพื้นก็หลับคร่อกไปเลย แต่ละวันภาวนาได้ไม่สมใจอยาก ต้องมาเพิ่มการภาวนาในวันหยุด คือวันอาทิตย์ ซึ่งการภาวนาในวันหยุดนี้เอง ที่อาตมาต้องเล่นกายกรรมอยู่เป็นนาน...
อาตมานั่งภาวนาอยู่ที่โต๊ะบัญชี ครู่หนึ่งก็เห็นแสงสว่างแพรวพราวยังกับเพชรลอยอยู่ข้างหน้า (หลับตาเห็น) แสงสว่างนั้นมีแรงดึงดูดมหาศาล อาตมาต้านไม่อยู่ ถูกดูดจนสภาพร่างกายตัวเองก้มลงหน้าติดกับโต๊ะไปเลย... แสงนั้นยังคงดูดต่อไป จนหน้ากดลงบนมือที่วางราบบนโต๊ะ แรงกดหนักจนปวดมือเหมือนกระดูกจะแตก จึงเลิกการภาวนาถอนจิตคืนมา อาการก็หายไป ภาวนาใหม่เมื่อไรก็เป็นใหม่อีก... พอขยับเก้าอี้ห่างโต๊ะมาก ๆ มันดูดจนศีรษะติดกับปลายเท้า งอก่องอขิงไปเลย พอคิดว่าจะดูดไปถึงไหนวะ...? มันก็เปลี่ยนจากดูดเป็นผลักออกตัว ค่อย ๆ ยืดตรง แล้วหงายไปทีละน้อย จนศีรษะติดพื้นดิน...! ก้นอยู่บนเก้าอี้กลม ศีรษะกับเท้าติดพื้นอยู่คนละด้าน เป็นการติดท่าสะพานโค้งของยิมนาสติค บางทีติดอยู่เป็นครึ่ง ๆ ชั่วโมง บางทีก็ดิ้นตูมตาม ตกเก้าอี้ไปกองแอ้งแม้งกับพื้นก็บ่อยไป...
แม้ร่างกายมันจะอาละวาดขนาดไหน จิตมันก็เป็นสุขแนบแน่นกับการภาวนา เป็นอยู่นานนับเดือนกว่าอาการต่าง ๆ จะหมดไป อาตมาทราบภายหลังว่าเป็น
๑ ในปิติทั้ง ๕ ชื่อว่า อุเพ็งคาปิติ ถ้าท่านผู้อ่านภาวนาแล้วเป็นแบบนี้ จงอย่ากลัว อย่าตกใจ ให้ภาวนาไปเรื่อย ๆ ไม่นานอาการต่าง ๆ ก็จะหมดไปเอง บางคนกลัวจนไม่กล้าภาวนา ทำให้ทิ้งความดีไปอย่างน่าเสียดาย....
๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
พระใบฎีกาเล็ก สุธมฺมปญฺโญ