"สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนก็คือ การใช้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ในการ ระงับ ตัด ละ กิเลสต่าง ๆ ออกจากใจของเรา บรรดาศาสดารุ่นเก่า ๆ เขาไม่มีตรงนี้ เขาคิดอยู่อย่างเดียวว่าต้องฝึกฝนไปถึงระดับหนึ่ง แล้วจะสามารถหลุดพ้นไปอยู่กับปรมาตมันได้ โดยที่ไม่รู้ว่าวิธีการหลุดพ้นที่แท้จริงคืออะไร
พระพุทธเจ้าท่านมาเอาของที่มีอยู่มาศึกษา แล้วก็ค้นพบว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นเครื่องช่วยให้หลุดพ้นได้ แต่รายอื่น ๆ ท่านทำไม่ถึง พอทำไม่ถึงก็มีสภาวะการหลุดพ้นปลอม ๆ ก็คือสภาวะที่จิตสงบระงับด้วยอำนาจของสมาธิในระดับรูปฌานบ้าง อรูปฌานบ้าง
ถ้ายิ่งไปถึงตอนท้าย ๆ ของอรูปฌาน อย่างเช่นว่า อากิญจัญญายตนะ ความรู้สึกสัมผัสแม้แต่น้อยหนึ่งก็ไม่มี เหลือแต่จิตแท้ ๆ อย่างเดียว บรรดาโยคีบุคคลสมัยก่อนก็คิดว่า นี่คือที่สุดแล้ว แต่ก็ยังมีอัจฉริยะที่มากกว่านั้น ก็คือนำเอาความไม่มีอะไรเหลือแม้แต่น้อยนั้น มาปรับสภาพของร่างกาย ก็คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่รวมเป็นขันธ์ ๕ ปรับจนทำเป็นเหมือนอย่างกับไม่มี นี่ก็ยิ่งเป็นสภาวะหลุดพ้นจอมปลอมที่สูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
อาตมาถึงได้กล่าวว่า จริง ๆ แล้วศาสนาพุทธของเรามาทีหลัง ศาสนาอื่น ๆ เขาค้นพบแล้วก็ก่อร่างสร้างตัวจนเป็นมหามงกุฎแทบจะสมบูรณ์แบบแล้ว ศาสนาพุทธของเรามาค้นพบเพชรยอดมงกุฎ ประดับลงไปจึงสมบูรณ์บริบูรณ์ ศาสนาอื่นไม่มีตรงนี้"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-06-2019 เมื่อ 21:21
|