พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนพันเอกพิเศษเสนาะ จินตรัตน์ ตายแล้วฟื้นใหม่ ๆ มาเล่าให้คนอื่นฟังว่าตัวเองตายไปแล้วไม่มีน้ำกิน เพราะว่าไม่เคยทำบุญไว้ ไปขอคนอื่น ๆ กินก็ไม่ได้ พอหยิบขึ้นมาก็หายหมด
อาตมาไปบิณฑบาตเจอน้ำมาทีละโหลเลย ไม่ได้นึกเลยว่าพระต้องเดินตั้ง ๕ กิโลเมตร บ้านแรกมาหนึ่งโหล บ้านที่สองมาอีกหนึ่งโหล ก็ไม่ต้องไปไหนแล้ว
ถามว่าการทำบุญแบบนั้นดีไหม ? ก็ดี..แต่ต้องใช้ปัญญาด้วย พระท่านยังต้องเดินอีกตั้งหลายกิโลเมตร ไม่ใช่ต้นทางเจอน้ำไปแล้ว ๒ โหล แล้วจะแบกอีท่าไหน ? สมัยนั้นพระวัดท่าซุงไม่มีลูกศิษย์เดินตาม ต้องดูแลตัวเองทั้งนั้น
ทำแค่พอสมควร คนละขวด ถ้าจะเมตตาก็เอาขวดเล็กสุด ๒๐๐ ซีซีก็พอ ตอนที่เขาออกน้ำขวดละ ๒๐๐ ซีซีแล้วแจกบนรถทัวร์นี่ชอบใจมาก เอ็งเข้าใจคิด ขวดใหญ่ก็กินไม่หมด อุตส่าห์ย่อลงมาพอดี ๆ คราวนี้พวกเราประเภททำเผื่อ ทำเผื่ออีท่าไหน เผื่อจะไม่ได้ทำ เล่นกันทีละเป็นโหล เกินพอดีไปมาก
อย่าลืมนะว่า..ส่วนเกินและขาดมีมาตั้งแต่โบร่ำโบราณสมัยพุทธกาล พอพระพุทธเจ้าเสนอทฤษฎีสายกลางคือความพอดีขึ้นมา ถึงได้ถูกใจคน"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2019 เมื่อ 02:57
|