ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่เป็นนักปฏิบัติธรรม เราไม่ได้สร้างบารมีมาขนาดบุคคลที่เป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ เรื่องที่จะไม่ตายนั้นไม่มี ความตายอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก ความตายพร้อมที่จะมาเยือนอยู่ตลอดเวลา ไม่จำกัดด้วยกาลคืออายุขัย ไม่ว่าจะเป็นวัยเด็ก วัยหนุ่มวัยสาว วัยกลางคน วัยชรา สามารถตายได้ทุกเวลา สำคัญที่ว่าตายแล้วจะไปไหนต่างหาก
ถ้าตายแล้วลงสู่อบายภูมิ เกิดเป็นสัตว์นรกบ้าง เปรตบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง ก็ถือว่าเสียชาติเกิด เกิดมาแล้วขาดทุนย่อยยับ ถ้าหากว่าเกิดเป็นมนุษย์ก็เสมอตัว แต่ถ้าหากว่าเป็นมนุษย์ที่ไม่ได้ส่งผลด้วย ทาน ศีล ภาวนา เราก็จะลำบากยากจน หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ ฐานะย่ำแย่ยังไม่พอ ยังโง่เขลาเบาปัญญาอีกต่างหาก
ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ด้วยทาน ด้วยศีล ด้วยภาวนา ก็นับว่าแค่เสมอตัวเท่านั้น ถ้าได้เกิดเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม ถือว่าได้กำไร แต่ก็ยังต้องทนทุกข์ในการเวียนว่ายตายเกิดอีกนับชาติไม่ถ้วน
ดังนั้น..หนทางเดียวที่เราจะพึงปรารถนาในการปฏิบัติธรรมของเรานั้น ต่ำสุดคือหวังความเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันนั้นมีกฎเกณฑ์กติกาในการเป็นแค่เล็กน้อยเท่านั้น คือ มีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างจริงจังแน่นแฟ้น ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
เป็นผู้มีศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์ ถ้าเป็นฆราวาสทั่วไปก็ศีล ๕ อุบาสกอุบาสิกาก็ศีล ๘ สามเณรก็ศีล ๑๐ พระภิกษุก็ศีล ๒๒๗ มีปัญญาคือรู้ตัวอยู่เสมอว่าชีวิตนี้เป็นของไม่เที่ยง ก้าวเข้าไปหาความตายอย่างแน่นอน ถ้าตายแล้วเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-04-2019 เมื่อ 19:52
|