พระอาจารย์เล่าว่า  "สมัยอาตมายังทำงานอยู่  ช่วงตรุษจีนกับสงกรานต์ กรุงเทพฯ เกือบจะเป็นเมืองร้าง ขึ้นรถแท็กซี่เขาบ่นเลย  “พี่...ทำไมถึงน่ากลัวอย่างนี้” ถามว่า "น่ากลัวตรงไหน ?" เขาบอก "วังเวงมากเลย"  
 
สมัยนั้นตรุษจีนเขานิยมหยุดกัน ๖ วัน ก็คือหยุดตั้งแต่ชิวอิดจนถึงชิวลัก  หลัง ๆ ความบีบคั้นทางเศรษฐกิจมีมากขึ้น การหยุดก็น้อยลง พอสองค่ำก็คือชิวยี่เปิดงานกันแล้ว  พอมาระยะหลัง ๆ ก็ไม่หยุดด้วย ก็คือสมัยก่อนเจ้านายหรือเถ้าแก่ส่วนใหญ่เชื้อสายจีน การหยุดก็จะหยุดช่วงตรุษจีนเป็นหลัก มีการแจกโบนัสที่เรียกกันว่า "แต๊ะเอีย"  
 
พอมาระยะหลัง ๆ เจ้าของกิจการมีมาก คนไทยมีมากขึ้น ไม่ได้ใส่ใจเรื่องแบบธรรมเนียมอย่างจีน เถ้าแก่รุ่นเก่า ๆ ก็ล้มหายตายจากไป   ช่วงหลัง ๆ ไม่กี่ปีมานี้ความสำคัญของตรุษจีนก็หายไป รู้อยู่อย่างเดียวว่าพอถึงตรุษจีนก็จะมีซองแดงแจกกัน แต่ว่าเป็นการแจกตามธรรมเนียมเท่านั้น ไม่ใช่โบนัสเป็นชิ้นเป็นอันเหมือนกับสมัยก่อน  
 
บางกงสีก็คือบริษัทใหญ่หน่อยก็แจกทองคำเลย สมัยนี้ก็ให้กันเพราะเป็นธรรมเนียม และไม่ได้หยุดมากมายเหมือนสมัยก่อน ตรุษจีนก็แทบจะไม่มีคนรู้สึกถึงความต่าง นอกจากว่าพอวันจ่าย - วันไหว้ก็รู้ว่าแถวเยาวราช จักรวรรดิ อย่าได้เข้าไปเพราะว่ารถติดมาก" 
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
				........................ 
 
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง 
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
			 
		
		
		
		
		
			
				  
				
					
						แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-02-2019 เมื่อ 02:44
					
					
				
			
		
		
		
	
	 |