พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนนั่งมาตั้งแต่ ๖ โมงเช้ายัน ๓ ทุ่ม ไม่มีปัญหา เพราะว่ายังหนุ่มอยู่ กำลังยังดี แต่ตอนนี้ไม่ไหว ๖๐ ปีแล้ว จะนั่งให้พ้นแต่ละช่วงก็แสนจะแย่ ถึงเวลาพอร่างกายไม่ไหวขึ้นมา แต่ละนาทีเหมือนกับนานเป็นชั่วโมง
แรก ๆ ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านหัดให้นั่งกัน พระหนีเตลิดเปิดเปิงกันหมด ช่วงนั้นประมาณปี ๒๕๓๐ ถ้าจำไม่ผิดเป็นวันมาฆบูชา หลวงพ่อท่านก็ลงรับแขกที่ศาลา ๒ ไร่ พระเราก็ไปนั่งสวดมนต์วันพระ เจริญพุทธมนต์เสร็จ ฉันอาหารกันตรงนั้น หลวงพ่อท่านก็บอกว่า "พระเอ๊ย...วันนี้ฉันเสร็จแล้วให้นั่งอยู่นี่แหละ ญาติโยมเขามาวัด เขาอยากเห็นพระเยอะ ๆ เห็นแล้วชื่นใจ ต่อไปให้นั่งอยู่อย่างนี้ตลอดจนกว่าหลวงพ่อจะสั่งให้เลิกนะ" ก็ได้แต่ครับ
ไม่เคยนึกเลยว่าการที่นั่งตั้งแต่ ๙ โมงเช้ายันบ่าย ๔ โมง รสชาติชีวิตเป็นอย่างไร หัวเข่าจะหลุด ตั้งแต่นั้นมาวันพระไหนที่หลวงพ่อลงศาลา แต่ละท่านก็อ้างมีงานประจำ เผ่นกันหมด คราวนี้อาตมาจะอ้างอย่างไร งานประจำก็คือเฝ้าหน้าห้องหลวงพ่อ แล้วหลวงพ่อท่านก็นั่งอยู่ตรงนั้น ก็ต้องทนนั่งต่อไป ก็เหลือแต่หลวงปู่หลวงตาแก่ ๆ อย่างหลวงตาสมชาย หลวงปู่ทองเทศ หลวงตาเจริญ พระแก่ไม่มีงานประจำ หรือว่ามีงานประจำอย่างหลวงตาสมชายก็แค่ไปเติมคลอรีนน้ำประปาอาทิตย์ละครั้งเดียว ก็ทนนั่งไปเถอะ
ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมานั่ง ไป ๆ มา ๆ พอมานั่งอยู่ตรงนี้ อ๋อ...หลวงพ่อท่านหัดไว้ให้ตั้งแต่ตอนโน้นแล้ว ท่านเองก็นั่งโยกซ้าย โยกขวา คุยกับโยมไปตลอดทั้งวัน พวกเรานั่งเฉย ๆ จะตายให้ได้"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-01-2019 เมื่อ 20:14
|