"มักขลิไปซ่อนในป่า กลัวเจ้านายตี ทนหิวไม่ไหวก็ย่องออกจากป่ามา เจอบ้านคนก็ไปขออาหารกิน คนสมัยนั้นเห็น โอ้โฮ...คนนี้มักน้อยมาก กระทั่งผ้าสักผืนก็ไม่นุ่ง จะต้องเป็นพระอรหันต์แน่เลย จึงเอาข้าวปลาอาหารมาประเคนเสียเยอะ มักขลิก็เลยกลายเป็นอาจารย์ใหญ่ มีคนเคารพนับถือ ก็บอกกันปากต่อปากไป เห็นว่าการไม่นุ่งผ้าทำให้เกิดลาภผลเงินทองขึ้นมา ก็เลยพาลแก้ผ้าเดินเทิ่ง ๆ ไปเลย แกก็เลยบัญญัติลัทธินัตถิกทิฏฐิขึ้นมา ไม่ต้องทำอะไรเลยถึงเวลามีเอง
อ่านประวัติบรรดาอาจารย์ใหญ่ของยุคนั้นแล้ว ไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมพระพุทธเจ้าของเราถึงได้แหวกวงความเชื่อของเขาออกมาได้ เพราะว่าอาจารย์ใหญ่ยุคนั้นเป็นทฤษฎีเหลวไหลเสียเยอะ ประมาณว่าไม่ต้องทำอะไรเลย ถึงเวลาก็ดังเอง ถึงเวลาก็รวยเอง
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าทุกอย่างเป็นไปตามกรรม กรรมดีกรรมชั่วที่เราทำ ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ บุคคลหว่านพืชเช่นไร ก็จักได้รับผลเช่นนั้น กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ ทำดีย่อมได้รับผลดี ทำชั่วย่อมได้รับผลชั่ว คราวนี้บาลีแปลมาแล้วคนฟังต่อแปลไม่หมด ไปแปลว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่เข้าใจกันอีกว่ากรรมแต่ละอย่างมีตามวาระ ตามความหนักเบา ตามหน้าที่ ฯลฯ พอถึงเวลาก็เลยกลายเป็นว่าทำดีแล้วยังไม่ทันได้ดี ก็ไปตั้งทฤษฎีใหม่ว่า ‘ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป’ นั่นเขาเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิ ทิฏฐิแปลว่าความเห็น Concept ผิด แนวคิดผิด"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-01-2019 เมื่อ 13:03
|