อย่างตึกทั้งหลังนี้เราก็เห็นว่าแข็งแรงดี แต่ลองจับแยกออกดูสิ นี่คือทรายเป็นเม็ด ๆ นี่คือปูน นี่คือเหล็ก ร่างกายของเราก็เหมือนกัน นี่คือดิน นี่คือน้ำ นี่คือลม นี่คือไฟ แต่พอรวมกันเป็นตัวเป็นตน เป็นก้อนขึ้นมา เป็นแท่งขึ้นมา เราก็มองไม่เห็นแล้ว เพราะว่าปัญญาไม่ถึง
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ปิดบังความจริง ทำให้เราเข้าไม่ถึงอริยสัจ ลองนึกถึงตึกหลังนี้แล้วเราก็รื้อสิ เอาอิฐออก เอาปูนออก เอาทรายออก เอาเหล็กเส้นออก ก็ไม่เหลืออะไร ท้ายสุดก็กลายเป็นส่วน ๆ ไป แล้วในแต่ละส่วนมาจากไหน ? ก็มาจากดิน มาจากน้ำ มาจากลม มาจากไฟ
สมัยก่อนที่อาตมาฝึกใหม่ ๆ แยกจนไม่มีอะไรเหลือแม้แต่นิดเดียว กว่าจะรู้ตัว อ้าว...เป็นอรูปฌานไปตอนไหนวะ ? รู้แต่ว่าตัวเองชอบแยกก็แยกไปเรื่อย ด้วยความที่เคยทำทางด้านนี้มาในอดีต ถึงเวลากลายเป็นอรูปฌานไปตอนไหนก็ไม่รู้ ? ไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่นิดเดียว พอไม่เหลืออะไรก็เหลือแต่ความว่าง อารมณ์นี้เป็นอารมณ์ของอรูป ก็คือไร้รูป
บางทีเวลานำญาติโยมเจริญกรรมฐาน โยมไม่รู้ว่าโดนลากไปอรูปฌานแล้ว เพราะว่าท้ายสุดอาตมาก็ปิดด้วยพุทธานุสติ อุปสมานุสติ นึกถึงพระ นึกถึงพระนิพพาน เลยรอดตายไป แต่ถ้าหากว่าให้ไปทำเอง ดีไม่ดีก็หลงเตลิดเปิดเปิง เพราะว่าอรูปฌานนิ่งและสงบมาก ๆ ถ้านิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างเดียวก็เจ๊ง
หลวงพ่อพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙) วัดดอน ยานนาวา ท่านบอก “ข้าวบูดของดาบส” อะไรล่ะ? “ดาบสคือนักปฏิบัติ ส่วนข้าวบูดกินได้ไหมเล่า ?” อรูปฌานเป็นข้าวบูด ถึงเวลาต้องรีบใช้ในการตัดกิเลส ถ้าไม่ได้ใช้อรูปฌานก็เป็นข้าวบูดของดาบส คือนักบวชถึงมีก็กินไม่ได้ กินเมื่อไรก็ติดอยู่แค่นั้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-12-2018 เมื่อ 03:03
|