ชื่อกระทู้: เทศน์สอนนาค
ดูแบบคำตอบเดียว
  #3  
เก่า 02-10-2009, 09:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในชีวิตของฆราวาสเราอาจจะสร้างบุญกุศลเป็นสิบครั้ง เป็นร้อยครั้ง เป็นพันครั้ง แต่ว่าการที่เราเป็นพระ เราสร้างบุญกุศลครั้งหนึ่งก็ได้บุญกุศลเท่ากับการเป็นฆราวาสทำเป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง เนื่องจากว่าเราต้องเป็นผู้ถือกติกามากกว่าเขาเป็นจำนวนมาก อานิสงส์ที่จะพึงได้จึงมีมากกว่า ถ้าเราพึงฉวยโอกาสนี้ของเรา สร้างสมบุญกุศลให้มากเข้าไว้ ถ้าหากสึกหาลาเพศไป กุศลบุญราศีส่วนนี้ ก็จะนำพาท่านทั้งหลายให้มีความสุขความเจริญ มีความรุ่งเรืองในชีวิตตลอดจนหน้าที่การงาน ถ้าหากว่าท่านบวชต่อไป แล้วระมัดระวังสิกขาบทเหล่านี้เอาไว้ได้ ท่านทั้งหลายก็จะเป็นผู้เจริญในบวรพุทธศาสนา เป็นธรรมทายาท เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นผู้ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงฝากศาสนาเอาไว้

ดังนั้น..จึงขอให้พ่อนาคทั้งหลายสังวรระวังไว้ว่า เมื่อเราเป็นพระแล้ว สมบัติของเราคือศีล ๒๒๗ ข้อ สมบัตินี้ "พ่อ" คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมอบไว้ให้แก่เรา เป็นสิ่งที่พึงหวงแหน พึงระวังรักษาเอาไว้ยิ่งกว่าชีวิต เราเองจะสามารถทรงความเป็นพระได้หรือไม่ได้ก็อยู่ที่ศีลนี่เอง เมื่อเราบวชเป็นพระ หลายท่านอาจจะสงสัยว่า เรามีความดีอะไร พ่อแม่จึงมากราบมาไหว้เรา

ก็เพราะว่าเรามีความดีคือศีล ๒๒๗ ข้อ เนื่องจากว่าในเรื่องของวัยวุฒิคืออายุ พ่อแม่ก็แก่กว่า ขณะเดียวกันเป็นผู้คลอดเรามา เลี้ยงเรามาแท้ ๆ ในเรื่องของคุณวุฒิทางโลก ประสบการณ์ทางโลก ประสบการณ์ของพ่อแม่ก็มากกว่า เราสู้ท่านไม่ได้เลย แต่เมื่อเราเข้ามาบวชเป็นองค์พระแล้ว พ่อแม่มากราบมาไหว้ ก็เพราะเรามีสมบัติวิเศษ คือศีล ๒๒๗ ข้อ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามอบไว้ให้ตั้งแต่สองพันกว่าปีมาแล้ว ใครสามารถระวังสิกขาบทให้บกพร่องน้อยเท่าไร เราก็คงความเป็นพระได้สมบูรณ์เท่านั้น ถ้าไม่บกพร่องได้เลยยิ่งดี

แต่ถ้าบกพร่องเมื่อไรให้รีบแสดงคืนอาบัติ แล้วตั้งใจระวังรักษาเอาไว้ให้สมบูรณ์บริบูรณ์ แต่ว่าอาบัติใหญ่ ๑๗ ข้อ คือ ปาราชิก ๔ ข้อ ตลอดจนสังฆาทิเสสอีก ๑๓ ข้อ อย่าให้ต้องเลยเป็นอันขาด เนื่องจากปาราชิกนั้น ถ้าหากโดนแล้วขาดจากความเป็นพระไปเลย เราลักขโมยของราคาหนึ่งบาทขึ้นไป เรามีเมียมีลูก เราเป็นผู้อวดอุตริมนุสสธรรม คือ ธรรมอันยิ่งที่ไม่มีในตน และท้ายสุดเราฆ่ามนุษย์ให้ตาย สี่ข้อนี่ทำเมื่อไร เราขาดจากความเป็นพระทันที ไม่สามารถที่จะเป็นพระได้อีก ห่มผ้าเหลืองอยู่ก็ไม่ใช่พระ สึกจากผ้าเหลืองไปแล้ว ถึงเข้ามาบวชใหม่ก็ไม่ใช่พระ

ในส่วนของสังฆาทิเสส ๑๓ ข้อนั้น ถ้าหากว่าต้องเข้าแล้ว จะต้องแก้ไขโดยคณะสงฆ์เท่านั้น คือต้องไปสารภาพในท่ามกลางสงฆ์ ว่าตนเองต้องอาบัติดังนี้ สงฆ์ทั้งหลายก็จะกำหนดบริเวณให้เราอยู่ เรียกว่า การอยู่ปริวาส เปรียบเสมือนการติดคุก ต้องมาแสดงตนต่อสงฆ์ทุกวัน จนกระทั่งครบถ้วนสมบูรณ์ตามเวลาที่เราได้ละเมิดศีล แล้วจึงเก็บมานัตต์ จากนั้นท้ายสุดให้คณะสงฆ์ ๒๑ รูปสวดยกเราขึ้นเป็นพระใหม่ จึงจะได้กลับเป็นพระได้อีกครั้งหนึ่ง ดังนั้น..โดยเรื่องของอาบัติ ปาราชิกก็ดี สังฆาทิเสสก็ดี โดนแล้วแก้ไขไม่ได้ และโดนแล้วแก้ไขได้ยาก ขอให้ทุกคนระมัดระวังรักษาให้เต็มที่ อย่าให้พลาดเป็นอันขาด

อาบัติอื่นนั้นเกิดจากศีลต่าง ๆ จำนวนมากข้อด้วยกัน ถ้าหากเราสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์บริบูรณ์ โอกาสที่จะผิดพลาดได้ย่อมมีอยู่ ท่านทั้งหลายที่โดนอาบัติในส่วนที่เป็นอาบัติเล็กน้อย ก็ให้ตั้งใจแสดงคืนอาบัติเสียทุกวัน อย่าให้ข้ามวันไปได้ ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าเกิดท่านตายภายในคืนนั้น ก็จะต้องตกสู่อบายภูมิ ได้รับทุกข์รับโทษอันหนัก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-07-2010 เมื่อ 17:31
สมาชิก 89 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา