"ที่กล่าวมายืดยาวนี้ ไม่ได้คิดจะเล่าเรื่องเจ้าอาวาสวัดวังปะโท่เลย จะเล่าว่าวัดวังปะโท่มีควายอยู่ตัวหนึ่ง เป็นควายที่เขาบอกว่ามีลักษณะดีเลิศตามลักษณะของควายที่ดีทั้งหลาย ประมาณว่าหน้าแด่น หางดอกด้วย แต่ขอโทษ...ควายตัวนี้คงรู้ว่าตัวเองหล่อกว่าใคร เพราะฉะนั้น...ใครเข้าใกล้ไม่ได้ แม้แต่อาตมาก็จะโดนขวิด ก็เลยบอกพระครูปลัดปรีชาว่า บริจาคให้ทางบ้านควายไทยที่สุพรรณบุรี หรือไม่ก็ธนาคารโคกระบือของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ไปเลย
ท่านบอกว่าไม่มีใครเข้าใกล้ได้ครับ เจ้านี่ยอมให้พระสาเหล่ท่านเดียว พระรูปนี้เป็นพระกะเหรี่ยง อาตมาก็เลยบอกกับควายว่า "ถ้าเอ็งไม่ไป...ก็จะเข้าโรงฆ่าสัตว์" ปรากฏว่าคืนนั้นสะบัดเชือกขาด หนีไปไหนก็ไม่รู้ ? ก็แสดงว่ารู้ภาษาจริง ๆ ไม่รู้ว่าเขาไปตามกลับมาหรือยัง ? เป็นควายที่เขาซื้อเพื่อสะเดาะเคราะห์แล้วเอาไปปล่อยไว้ที่วัด
ตอนแรกอาตมาก็คิดว่าวัดท่าขนุนมีพื้นที่ป่า จะหาควายสักตัวสองตัวมาเลี้ยงไว้ เพราะว่าปัจจุบันนี้ควายไทยหายากแล้ว ควายบ้านเราถ้าไม่ใช่ควายมูร่าห์ของอินเดียก็จะเป็นควายพม่า นึกไปนึกมาแล้วจะหาภาระเพิ่มให้พระโดยใช่เหตุ ก็เลยไม่ได้ซื้อมา
มีอยู่ช่วงหนึ่งก็คิดว่าจะซื้อลูกหมูป่ามาเลี้ยง เผื่อให้ช่วยเก็บเศษอาหาร ปรากฏว่าไปเจอหมูป่าคู่หนึ่ง สองตัวนั้นไม่ใช่หมูแล้ว กลายเป็นอะไรไปแล้วก็ไม่รู้ ? ชื่อแอปเปิ้ลกับองุ่น แต่กินทุกอย่างที่ขวางหน้า หมูป่าน้ำหนักเต็มที่ ถ้าในป่าก็คงไม่เกิน ๑๒๐ กิโลกรัม แต่ ๒ ตัวนั้นน่าจะเกิน ๒๐๐ กิโลกรัมไปแล้ว"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-12-2017 เมื่อ 02:01
|