| 
				  
 
			
			ถาม :  หลวงพ่อคะ หลวงพ่อฝึกกสิณกองแรกนานไหมคะตอบ  :  อันแรกนาน แต่ว่าอันอื่นง่ายแล้ว  ก็บอกแล้วว่ามันไม่มีเวลาไปคิดอย่างอื่นเลย มันต้องคอยประคองตลอด  ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวหาย
 
 ถาม  :  เวลาจับภาพ  เมื่อภาพกสิณเปลี่ยนเป็นนิมิตสีขาวแล้ว   แต่ทีนี้มันหายไป แต่เราก็จำภาพที่เป็นสีขาวได้   ทีนี้เราต้องกลับไปย้อนใหม่ไหมคะ
 ตอบ :   แค่นึกใหม่ ไม่ต้องเริ่ม
 
 ถาม  : แล้วสังโยชน์  ๑๐ อย่างคนที่ต้องละตัวอรูปราคะ พวกสายอื่นที่เขาไม่ได้ฝึกอรูปฌานอย่างนี้แล้วเขาจะละอย่างไรคะ
 ตอบ  :  ละในส่วนที่ไม่ใช่รูป  อย่างเช่นพวกกลิ่น  เสียง  รส
 
 ถาม : บางครั้งหนูมาไล่ดูว่า  เป็นไปได้ไหมว่าฟุ้งซ่านแล้วไม่เป็นไปในทางกิเลส  สรุปว่ามันเป็นไปไม่ได้ค่ะหลวงพ่อ
 ตอบ  :  มันก็คิดอยากเป็นนั่น อยากเป็นนี่ อยากดีอย่างนั้น อยากดีอย่างนี้
 
 ถาม :  ถึงแม้มันจะเป็นไปในด้านกุศล
 ตอบ  : กุศลมันก็ฟุ้ง  เพราะใจมันไม่รวม  เมื่อใจมันไม่รวม พอกำลังมันหมด ทีนี้กิเลสมันตีตายเลย
 
 ถาม :  แต่ว่าห้ามไม่ให้ฟุ้งซ่านนี่มันยากนะคะหลวงพ่อ  หนูเคยลองนั่งรถเมล์มาถึงอนุสาวรีย์  อยากจะดูว่ามันจะคุมได้นานสักเท่าไหร่  ปรากฏว่าได้ไม่นานค่ะหลวงพ่อ
 ตอบ  :  แค่  ๒  นาทีก็ถือว่าเก่ง อะไรที่แว่บเข้ามาทางตาก็มองส่องไป   (หัวเราะ ) ไม่ยาก  ขอยืนยัน
 
 ถาม : อย่างบางครั้งเราพิจารณาในร่างกาย  แค่เราพิจารณานิดเดียว  มันก็ได้กรรมฐานหลายกองไปในเวลาเดียวกัน  อย่างเช่นตัวอสุภะ มันได้ทั้งธาตุ  ๔ และตัวกายคตา
 ตอบ  : มันทำได้  ของมันเนื่องกันอยู่แล้ว  ถ้าเคยคลำ ๆ มาบ้าง  ถึงเวลามันก็ไปลงที่เดียวกัน
 
 
				__________________........................
 
 เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
 
				 แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 14-09-2009 เมื่อ 11:41
 |