พระอาจารย์กล่าวว่า  "ญาติโยมหลายคนที่อาตมาเตือนเรื่องวัดธรรมกายไป ต้องบอกว่าเริ่มรู้ตัว อย่าลืมว่าท่านเป็นพระ เราเป็นฆราวาส อะไรที่เราคิด เราพูด เราทำกับพระ มีโทษมากกว่าประโยชน์ โบราณท่านถึงได้ใช้คำว่า “ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์”  
 
ประการหนึ่งก็คือ เรื่องของศีลพระนั้น  ทำผิดคือศีลขาดเลย ไม่ใช่ทำผิดแล้วต้องรอศาลมาตัดสิน ในเมื่อเป็นเช่นนั้นถ้าตัวเราเองไม่เข้าใจ ซึ่งปัจจุบันนี้ฆราวาสจำนวนมากก็ไม่เข้าใจในเรื่องเช่นนี้ จึงทำให้เรื่องเกี่ยวกับพระของเราสับสนวุ่นวายไปหมด 
   
อย่างเช่นพระพุทธเจ้าตรัสบัญญัติศีลขึ้นมาว่า “ภิกษุหยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ ราคาได้ ๕ มาสกขึ้นไป ต้องอาบัติปาราชิกคือขาดความเป็นพระ”  คราวนี้ในวินีตวัตถุท่านใช้คำว่า “วัตถุนั้นเคลื่อนจากฐาน” ถามว่าเคลื่อนไกลเท่าไร ? ท่านบอกว่า “พ้นฐานไป ๑ ส่วน ๑๖ ของเส้นผม” พูดง่าย ๆ ว่ามองแทบไม่เห็น ถ้าหากว่าจับเคลื่อนจากฐานก็ขาดความเป็นพระไปแล้ว ไม่ได้แปลว่าเราวางคืนแล้วความเป็นพระจะกลับคืนมา เพราะตอนช่วงที่เราหยิบฉวยนั้นเกิดเถยยจิต คือคิดที่จะขโมย  
 
ในเมื่อคิดจะขโมยและหยิบเคลื่อนจากฐาน  แปลว่าการกระทำนั้นสำเร็จแล้ว  ในเมื่อการกระทำนั้นสำเร็จแล้วแปลว่ากรรมนั้นบรรลุผลแล้ว ถ้าหากว่าปรับก็คือขาดจากความเป็นพระไปแล้ว ถึงไปวางคืนก็ไม่สามารถที่จะเป็นพระได้อีก
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
				........................ 
 
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง 
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
			 
		
		
		
		
		
			
				  
				
					
						แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-03-2017 เมื่อ 02:51
					
					
				
			
		
		
		
	
	 |