ถาม : .........................
ตอบ : หลวงพ่อท่านย้ำอยู่เสมอว่า จรณะ ๑๕ ถ้าใครทำจะเข้าถึงมรรคผลได้เร็ว แค่
อินทรียสังวรตัวเดียวนี่ พระนันทะเถระเป็นเอตทัคคะคือผู้เลิศกว่าภิกษุอื่น พระนันทะเถระท่านเป็นน้องชายพระพุทธเจ้า น้องคนละแม่
พระนันทะเถระกำลังจะแต่งงานพระพุทธเจ้าเสด็จไปบิณฑบาต สมัยก่อนนั้นพอบิณฑบาตท่านจะส่งบาตรให้ พอรับบาตรไปใส่อาหารเสร็จก็จะเอามาประเคนคืน แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่รับหรอก ท่านกลับหลังหันได้ก็เดินไปเลย พระนันทะเถระก็ถือบาตรตามไปเรื่อย ตามไปจนกระทั่งถึงเชตวันมหาวิหาร
พระพุทธเจ้าถาม "นันทะ..เธอจะบวชไหม ?"
เกรงใจพระพุทธเจ้าก็... "บวชพระเจ้าข้า.."
๗ วันที่บวชอยู่ไม่ได้มีความสุขเลย โอ้..คนกำลังจะเข้าเรือนหอ ถูกลากไปบวช ...(หัวเราะ)... เป็นเราก็กลุ้ม..ใช่ไหม ? คราวนี้พระพุทธเจ้าท่านรู้อยู่ จึงตรัสเรียกพระนันทะไปด้วยกัน ไปก็ชี้ให้ดูลิงตัวเมียแก่ ๆ ตัวหนึ่ง หางก็ด้วน หูก็แหว่ง ขนก็หลุด นั่งอยู่บนตอไม้ที่ไฟไหม้
ตรัสว่า... "นันทะ..ภรรยาในอนาคตของเธอ งามกว่าลิงแก่ตัวนี้หรือว่าลิงแก่ตัวนี้งามกว่า ?"
พระนันทะเถระบอกว่า "นางชนบทกัลยาณี งามกว่าจนเปรียบไม่ถูกพระเจ้าข้า"
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดี..เดี๋ยวจะพาไปดูอะไรบางอย่าง" จับมือพระนันทะได้ก็พรึบขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไปเลย ไปถึงเทวดานางฟ้าก็มากันเพียบ พระพุทธเจ้าก็ชี้ให้พระนันทะดู ตรัสว่า
"เธอเห็นเหล่านางสวรรค์เหล่านี้ เมื่อเปรียบกับชนบทกัลยาณีแล้วเป็นอย่างไร ?"
พระนันทะบอกว่า "นางชนบทกัลยาณีเมื่อเปรียบเทียบกับนางฟ้าเหล่านี้ ก็เหมือนลิงแก่หางด้วนขนหลุดตัวนั้นพระเจ้าข้า"
พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า "ถ้าหากว่าเธออยู่ปฏิบัติต่อไป แล้วตถาคตรับปากว่า จะให้นางฟ้าเหล่านี้แก่เธอ ๆ จะรับไหม ? "
พระนันทะก็ตกลง
พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนกรรมฐานให้ กลายเป็นพระอรหันต์ไป ตกลง
พระนันทะบวชเพราะอยากได้เมียเป็นนางฟ้า
พอท่านบรรลุมรรคผลแล้ว ท่านก็รู้ว่า ที่แล้ว ๆ มาท่านเห็นโทษของการไม่สำรวมอินทรีย์ คำว่าอินทรีย์ คือการเป็นใหญ่ คือตาเป็นใหญ่ในการเห็น หูเป็นใหญ่ในการได้ยิน จมูกเป็นใหญ่ในการได้กลิ่น ลิ้นเป็นใหญ่ในการได้รส กายเป็นใหญ่ในการสัมผัส แล้วก็ใจเป็นใหญ่ในการรับอารมณ์ทั้งมวล
การไม่สำรวมอินทรีย์ทำให้สิ่งต่าง ๆ เข้ามาทางตา กระทบตา ชอบใจ ถูกใจ ..เสร็จแล้ว.. โดนกิเลสตีบ้านตีเมืองยึดไปเรียบร้อยแล้ว กระทบหูได้ยินแล้วชอบใจหรือไม่ชอบใจ ก็เสร็จแล้ว โดนยึดบ้านยึดเมืองไปเรียบร้อย ดังนั้น..พอท่านเห็นโทษในตรงจุดนี้ ก่อนหน้านี้ท่านเป็นเจ้าชาย เรื่องรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่าง ๆ ที่กระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ท่านได้รับเป็นปกติ
เมื่อเป็นพระอรหันต์ ท่านก็เลยระมัดระวังเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ จนกระทั่ง
พระพุทธเจ้าตั้งไว้เป็นเอตทัคคะ คือเป็นเลิศกว่าผู้อื่นในทางสำรวมอินทรีย์ รู้จักระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา