ถาม : หนูไม่ได้นั่งสมาธิค่ะ หนูใช้ชีวิตประจำวัน สามารถที่จะไปกำหนดรู้ได้ไหมคะ ? 
ตอบ : ได้...พอเราทำถึงตรงนั้นแล้วก็แบ่งสติ คือความรู้สึกส่วนหนึ่งหรือครึ่งหนึ่งก็ได้  เอาไปกำหนดรู้อารมณ์ภาวนาเอาไว้ อีกครึ่งหนึ่งก็ทำหน้าที่ของเราไปเรื่อย  ถ้าสติไม่คลายออกจากตรงนั้น  รัก โลภ โกรธ หลง ก็กินเราไม่ได้  ทั้งหมดที่เราทำก็จะเป็นแค่กิริยา  ก็คือไม่เกิดกรรม เพราะจิตไม่ได้ปรุงด้วย รัก โลภ โกรธ หลง 
 
ถาม :  ถ้ามีความรู้สึกสมเพชตัวเองละคะ ?  
ตอบ : ธรรมดา บางคนนั่งร้องไห้เลย "ทำไมกูโง่ขนาดนี้วะ ? ตั้งกี่ชาติแล้ว ทำไมแค่นี้ก็หาไม่เจอ"   
 
ถาม : ไม่ใช่คำว่า สงสารค่ะ  แต่เป็นสมเพชตัวเองมากเลยค่ะ ? 
ตอบ : ธรรมดา   
 
ถาม :  ว่านี่เรากำลังทำอะไรอยู่ ? 
ตอบ : ระวังเอาไว้...ถึงเวลาถ้าอารมณ์นี้หายไปจะสมเพชตัวเองมากกว่านี้อีก   อาตมาเดินตามสาวที่กำลังช็อปปิ้ง  เขาซื้อ ๑ ถุง เราก็หิ้ว ๑ ถุง พอเขาซื้อ ๒ ถุง เราก็หิ้ว ๒ ถุง  พอสัก ๗-๘ ถุง หันไปดู "นี่กูกำลังทำอะไรอยู่วะ ?" เกิดคำถามนั้นขึ้นมาจริง ๆ ดันเกิดคำถามขึ้นมากลางห้าง  โหย..เบื่อสุดชีวิตเลย อยากจะมุดหายไปจากตรงนั้น  เดี๋ยวนั้นเลย   
 
ผู้หญิงเขาความรู้สึกไวมาก เขาหันมาถามว่า "พี่เป็นอะไร ?"  "ไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่ตอนนี้เบื่อหน้าเธอฉิบหา...เลย..!" เขาก็เลยบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็กลับ  นั่นลักษณะสมเพชตัวเอง  ใช้คำนั้นแหละใช่แล้ว  สงสัยว่าเราเองมาทำอะไร ?  ทำไมเหลวไหลอย่างนี้ ?  แทนที่จะไปนั่งภาวนาหาทางพ้นทุกข์  ดันมาเพลิดเพลินเจริญใจกับอะไรที่ไร้สาระมาก ลองนึกถึงสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เราเหมือนกำลังอยู่บนบ้านที่ไฟไหม้ ยังจะนอนสบายให้ไฟไหม้ตายคาบ้าน  แทนที่จะรีบขวนขวายหาทางหนี  
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
				........................ 
 
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง 
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
			 
		
		
		
		
		
			
				  
				
					
						แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-02-2017 เมื่อ 20:23
					
					
				
			
		
		
		
	
	 |