"ตามที่ฟังพลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ท่านบอกว่าเรื่องแบบนี้เขาไม่รับทราบข้อหา เราก็ดำเนินคดีได้ แล้วทำไมไม่ทำ ? ขณะเดียวกันธรรมกายก็บอกว่าเขาไม่ได้ไปไหน ถ้าจะแจ้งข้อหา เขาอยู่ในวัดก็เข้าไปแจ้งก็จบ แต่เขาไม่ทำ กลับทำเรื่องให้ใหญ่
ถ้าเราดูสถานการณ์ปัจจุบันก็คือในหลวงของเราแย่แล้ว ประชาชนขาดที่พึ่ง เหลือแต่สถาบันศาสนา ถ้าเขากระทุ้งพังอีกหนึ่งสถาบัน ก็เป็นอันว่าประเทศเราล่มสลายแน่นอน ก็เลยพยายามทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เป็นแผนการที่โหดมาก
เรื่องของธรรมกายทำผิดก็คือผิด ก็ว่ากันไปตามผิดตามถูก แต่กลายเป็นดึงไปโยงเรื่องโน้น ดึงไปโยงเรื่องนี้ โดยเฉพาะดึงไปโยงกับหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ในเรื่องการปกครองคณะสงฆ์ ถ้าเรื่องเกิดขึ้นในวัดต้องแจ้งเจ้าคณะตำบล ถ้าเจ้าคณะตำบลเห็นว่าเหลือบ่ากว่าแรงก็แจ้งเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะอำเภอไม่ไหวก็แจ้งเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะจังหวัดไม่ไหวก็แจ้งเจ้าคณะภาค เจ้าคณะภาคไม่ไหวก็แจ้งเจ้าคณะใหญ่ เป็นไปตามลำดับ ถ้าโดดข้ามลำดับแล้วเขาจะทำงานกันอย่างไร ? แต่เขาโดดไปทีเดียวที่หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำเลย
ถามว่าหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำจะไปยุ่งอะไรกับเขาด้วย เพราะว่าผิดขั้นตอน ท่านที่รู้ขั้นตอนอยู่ ท่านก็ไม่ทำอยู่แล้ว ก็ไปโยงเรื่องว่าท่านปัดเรื่องเพราะเป็นพวกเดียวกัน ถ้าหากจะโยงเรื่องว่าเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่าน พระอุปัชฌาย์มีหน้าที่ดูแลพระภิกษุใหม่อยู่ ๕ ปี พ้นจาก ๕ ปี ได้นิสัยมุตตกะ ไม่อยู่ในการปกครองของพระอุปัชฌาย์อาจารย์แล้ว แล้วท่านธัมมชโยไม่ใช่แค่ ๕ ปี แต่ ๕๐ ปีแล้ว พูดง่าย ๆ ว่าถ้าไม่เกรงใจว่าพระอุปัชฌาย์อาจารย์ยังอยู่ ท่านจะไม่เห็นหัวเลยก็ยังไหว คราวนี้คนที่ทำไม่ใช่ไม่รู้เรื่อง ถึงได้บอกว่าเขาแกล้งโง่ พยายามที่จะโยงเรื่องเพื่อก่อประโยชน์ให้ตัวเองมากที่สุด โดยที่ไม่ได้สนใจว่าพระพุทธศาสนาจะบอบช้ำขนาดไหน คนประเภทนี้ต้องบอกว่าชั่วถึงขนาด...!"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-06-2016 เมื่อ 14:51
|