อาตมาสมัยรับราชการอยู่ อาละวาดใส่เจ้านายประจำ แต่ได้ ๒ ขั้นทุกปี จนกระทั่งถึงปีที่ ๔ เขาเอาระเบียบมากาง บอกว่าได้ไม่เกิน ๓ ปีติดกัน ปีนี้ต้องเว้น ก็บอกกับเจ้านายไปว่า ถ้าระเบียบว่าไว้อย่างนั้นไม่เป็นไร แต่ถ้าผมไม่ได้แล้วคนอื่นได้...เป็นเรื่อง...! ก็ทั้งหน่วยงานไม่มีใครทำงานได้เกินกว่าเรา ในเมื่อความสามารถตูขนาดนี้ แล้วคนอื่นได้แต่ตูไม่ได้ ก็เป็นเรื่อง..!
เจ้านายท่านบอกว่า “มึงรู้ไหม ? กูเกลียดขี้หน้ามึงฉิบหา..เลย..!” อาตมาก็บอกว่า “ผมก็ไม่ได้รักท่านเท่าไรหรอกครับ” ถึงบอกว่าถ้าจะอยู่ในวงการต้องปากแหลมเขี้ยวคมพอ แต่เพื่อนเขาเบื่อ เพราะจะเป็นตำบลกระสุนตกแล้วเขาอยู่ข้างเคียง ก็ซวยไปด้วย เพื่อนบอกว่า "อะไร ๆ มึงก็เก่ง...กูไม่เถียงหรอก แต่มึงรู้แล้วทำไมต้องพูดด้วยวะ ?" รู้แล้วไม่พูดนี่บางทีทำส่วนรวมเสียหายเยอะ ก็จำเป็นต้องพูด ให้เขารู้ว่าเรารู้ทัน เพราะฉะนั้น...เอาเสียหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับผลกระทบไปด้วย
ถ้าเป็นลูกน้องก็จงเป็นลูกน้องที่เจ้านายเกรงใจ จะเป็นเจ้านายก็ให้เป็นเจ้านายที่ลูกน้องกลัว แล้วชีวิตนี้จะง่ายขึ้นอีกเยอะ เขาจะว่าเราจู้จี้ขี้บ่นอย่างไรก็ว่าไป แต่ถึงเวลางานต้องเสร็จ ถ้างานไม่เสร็จเอ็งก็เสร็จ ไม่ใช่พอลูกน้องว่าเราจู้จี้ขี้บ่นแล้วเราก็เอามาคิดเสีย ๓ วัน ๓ คืน ลูกน้องพูดเสร็จสะบัดตูดไป แล้วเขาก็ไม่ได้คิดสักนิดเดียว เราก็มานั่งหน้าเหี่ยวหัวหงอกเอง
ถ้าอยู่บริษัทเอกชนก็แค่บอกว่า ถ้าทำอย่างนี้อีก อย่าคิดเลยว่าสิ้นปีจะได้โบนัส เดี๋ยวเขาก็ไปคิดหัวหงอกกันเองแหละ ถ้ารับราชการก็บอกกับเขาว่า ถ้ามีฝีมือแค่นี้ ปีนี้ก็เอาไปครึ่งขั้นก็แล้วกัน แต่ถ้ายังรักษาฝีมือในระดับนี้ ต่อไปครึ่งขั้นก็อาจจะไม่ได้ด้วย
จริง ๆ จะว่าไปแล้ว เรื่องสงครามประสาทนี่สนุก แต่คิดดูก็เป็นเวรเป็นกรรมเหมือนกัน ถ้ารักที่จะทำก็เก็บเอาเรื่องศีลธรรมใส่กระเป๋าสักพัก กลับบ้านแล้วค่อยมาตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมกันใหม่ อยู่ที่ทำงานให้งับหัวทุกคนที่ยื่นเข้ามาใกล้..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-06-2016 เมื่อ 02:59
|