เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๙
ขอให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติ คือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมด ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมด ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๓๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ เป็นการปฏิบัติธรรมประจำเดือนกุมภาพันธ์วันสุดท้าย การปฏิบัติธรรมนั้น หลัก ๆ เลยก็คืออานาปานสติ หรือลมหายใจเข้าออก เป็นสิ่งที่เราจะทิ้งไม่ได้ ถ้าเราไม่สามารถที่จะรักษาลมหายใจเข้าออกเอาไว้ได้ กองกรรมฐานใด ๆ ก็หาความทรงตัวไม่ได้เช่นกัน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกครั้งในการปฏิบัติ เราต้องกำหนดดู กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกของเรา จนสมาธิทรงตัวตั้งมั่นเสียก่อน
ยกเว้นว่าท่านที่ทำจนชำนาญแล้ว เพียงแค่ใจของเรานึก ก็จะเข้าสู่สมาธิในระดับที่เรากระทำได้ ถ้าอย่างนั้นก็จะง่ายและจะสะดวกกว่าผู้หัดใหม่ แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหม่หรือผู้เก่าก็ตาม เมื่อภาวนาไประยะหนึ่ง จะเกิดอาการในลักษณะที่ว่า อารมณ์ของเราเต็มแล้ว ไม่สามารถที่จะฝืนต่อไปได้ เหมือนอย่างกับว่าเราเดินไปจนสุดทาง ตรงหน้าของเราเป็นทางตัน ไปต่อไม่ได้แล้ว สภาพจิตก็จะค่อย ๆ เคลื่อน ค่อย ๆ คลายออกจากสมาธิที่ทรงตัวอยู่
ตรงจุดนี้ทุกคนต้องระมัดระวังให้มากเข้าไว้ เพราะทันทีที่สภาพจิตคลายออกมาสู่อุปจารสมาธิ ให้เรารีบหาวิปัสสนาญาณให้สภาพจิตของเรานึกคิดพิจารณา ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วสภาพจิตของเราจะฟุ้งซ่านไปหา รัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งจะฟุ้งซ่านได้อย่างเป็นงานเป็นการ เป็นหลักเป็นฐาน และดึงกลับได้ยาก เพราะว่าสภาพจิตของเราได้กำลังจากสมาธิที่เราปฏิบัติ แต่แทนที่จะเอาไปพินิจพิจารณาในวิปัสสนาญาณ กลับเอาไปฟุ้งซ่านเพราะได้กำลังจากสมาธิของเราเอง การที่เราจะยื้อยุดให้สภาพจิตหยุดฟุ้งซ่าน ก็เป็นไปได้ยากอย่างยิ่ง
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-02-2016 เมื่อ 15:09
|