คราวนี้ในเรื่องของบารมีนั้น หมายเอาบารมี ๑๐ หรือทศบารมี ซึ่งเราสร้างสมมาเพื่อความหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ถ้าในลักษณะอย่างนี้ การสร้างบารมีของเราก็จะขึ้นต้นด้วยปัญญาบารมี รู้ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ดีจริง เราก็รีบกระทำ
ถ้าหากว่าท่านตั้งใจให้ทานก็เพราะมีปัญญารู้ว่าทานนั้นดีอย่างไร เป็นการตัดความโลภจากจิตจากใจของเราอย่างไร ทำให้ผู้ได้รับมีความรักใคร่ต่อเราอย่างไร เมื่อเห็นคุณความดีของทาน ท่านทั้งหลายถึงจะให้ทานได้ เมื่อให้ทานแล้วในขณะนั้นต้องประกอบไปด้วยเมตตาบารมี ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถที่จะสงเคราะห์อนุเคราะห์ผู้อื่น บุคคลที่จิตประกอบด้วยเมตตาย่อมทรงศีลเป็นปกติ
ดังนั้นไม่ว่าท่านจะเริ่มในบารมี ๑๐ จากตรงไหนก็ตาม สิ่งที่ท่านจะได้รับก็คือบารมีอีก ๙ ตัวจะตามมาติด ๆ ด้วย จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม บารมีทั้งหลายเหล่านั้นก็จะตามติดชิดเข้ามาโดยอัตโนมัติ เหมือนกับซื้อรถย่อมมีล้อแถมมาด้วย สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าหากว่าท่านจะเริ่มสร้างบารมี ไม่ว่าจะเริ่มจากตัวไหนก็สามารถทำได้
และขอให้รู้ว่าคู่ศึกของบารมี ๑๐ ก็คือสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ซึ่งเริ่มตั้งแต่สักกายทิฐิ มีความเห็นว่าตัวเราเป็นของเรา วิจิกิจฉา ลังเลสงสัยในคุณพระรัตนตรัย สีลัพพตปรามาส รักษาศีลไม่จริงไม่จัง ขาด ๆ วิ่น เหล่านี้ไปจนถึงอวิชชา คือความเขลารู้ไม่จริง ทำให้หลงผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิด เป็นต้น
สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงยังอยู่ ท่านให้เขียนบารมี ๑๐ ติดหัวนอนเอาไว้ ตื่นเช้าขึ้นมามองบารมี ๑๐ แล้วตั้งใจทบทวนว่าตรงไหนที่เรายังบกพร่องอยู่ วันนี้เราจะทำตัวนั้นให้เต็มขึ้นมา แล้วเขียนสังโยชน์ ๑๐ ติดเอาไว้ด้วยว่าตอนนี้เราตั้งใจจะละตัวไหน เมื่อเป็นเช่นนี้ งานของเราก็เหลือน้อย ก็คือแค่พยายามสร้างบารมี ๑๐ ให้เต็ม และ ละสังโยชน์ ๑๐ ให้ได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-01-2016 เมื่อ 11:24
|