ในเมื่อสภาพจิตไม่ยึด ไม่เกาะ ความทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้น ก็ไม่สามารถที่จะสร้างความทุกข์ใจให้เกิดแก่เราได้ มีแต่สร้างความทุกข์ให้เกิดกับร่างกายโดยส่วนเดียว ตัวเราเองก็ก้าวเข้าหาอารมณ์พระอริยเจ้าขั้นต้นคือพระโสดาบัน ด้วยการทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง พยายามรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ล่วงละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล
พร้อมกับมีปัญญาพิจารณาให้เห็นว่า ร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์นี้ ถึงเวลาก็เสื่อมสลายตายพังไปตามกาล ถ้าหากว่าร่างกายนี้ตายลงไปเมื่อไร เรามีที่ไปแห่งเดียวก็คือพระนิพพาน แล้วเอาสภาพจิตของเราเกาะพระนิพพานหรือเกาะภาพพระเอาไว้
จากนั้นก็ดูลมหายใจเข้าออกของเรา ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ก็กำหนดดู กำหนดรู้ลมหายใจไปด้วย ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ ก็กำหนดคำภาวนาไปด้วย ถ้าลมหายใจเบาลงหรือหายไป คำภาวนาหายไป ก็ให้กำหนดรู้ว่าตอนนี้เป็นอย่างนั้น อย่าไปดิ้นรนเพื่อจะหายใจใหม่ หรืออย่าพยายามบังคับให้เข้าไปสู่อารมณ์อย่างนั้น ถ้าท่านสามารถปล่อยวางได้ด้วยการรับรู้เฉย ๆ ว่าสภาพจิตตอนนี้เป็นอย่างนี้ สมาธิตอนนี้เป็นอย่างนี้ เรามีหน้าที่ตามดูตามรู้อย่างเดียว สภาพจิตของเราจะก้าวเข้าสู่สมาธิขั้นสูงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีกำลังเพียงพอ ก็สามารถใช้ในการตัดกิเลสตามที่เราต้องการได้
ลำดับต่อจากนี้ก็ให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 28-11-2015 เมื่อ 21:00
|