การเกิดมาเป็นมนุษย์ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าให้กระทำในอัตตัตถะ ก็คือ ประโยชน์ส่วนตนให้ถึงพร้อม แปลว่าเราจะอยู่ในสถานะอะไร ก็ให้ทำสถานะนั้นให้ดีที่สุด เป็นลูกก็ทำหน้าที่ของลูกให้ดีที่สุด เป็นพี่เป็นน้องก็ทำหน้าที่ของพี่น้องให้ดีที่สุด เป็นศิษย์ก็ทำหน้าที่ของศิษย์ให้ดีที่สุด เป็นพ่อเป็นแม่ก็ทำหน้าที่ของพ่อแม่ให้ดีที่สุด เป็นครูบาอาจารย์ก็ทำหน้าที่ของครูบาอาจารย์ให้ดีที่สุด
อย่างที่ ๒ คือปรัตถะ ทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์เล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้มีอัตถจริยา ก็คือการสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น แม้กระทั่งที่อาตมาทำอยู่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ก็เป็นปรัตถะ ก็คือเพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก
และส่วนสุดท้ายก็คือ อุภยัตถะ ทำประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ทั้งตนเองและผู้อื่นให้ถึงพร้อม ซึ่งบุคคลที่จะทำได้สมบูรณ์บริบูรณ์นั้นหายาก เราจะเห็นว่าบางท่านแม้จะเป็นใหญ่เป็นโต บริหารชาติบ้านเมืองได้ดี แต่ครอบครัวบางทีก็ไม่เป็นท่าเลย ถ้าถามว่าท่านไม่ได้อบรมสั่งสอนคนในครอบครัวหรือ ? ต้องบอกว่ายิ่งกว่าสอนอีก แต่สอนแล้วเขาไม่ฟัง เหตุที่ไม่ฟังเพราะบุคคลที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น คนที่มาเป็นครอบครัวเดียวกันก็มักจะมีทิฐิมานะ กูยิ่งใหญ่ขนาดนี้มึงจะมาสอนกูได้อย่างไร จะเป็นลักษณะอย่างนั้น ดังนั้น..ข้อสุดท้ายจะเป็นข้อที่ทำได้ยากที่สุด ถ้าอยากจะรู้หัวข้อธรรมนี้ละเอียดก็ให้ไปค้นหาดู ใช้คำว่า “ประโยชน์ ๓” ไม่รู้ว่าจะมีที่ไหนอธิบายเอาไว้ละเอียดบ้างหรือเปล่า ?
การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์เน้นปรัตถะ ก็คือเน้นประโยชน์ผู้อื่น ถ้าเห็นคนอื่นมีความสุข ถึงตัวเองต้องตายลงไปก็ยังเต็มใจที่จะทำ
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-11-2015 เมื่อ 19:56
|