พระอาจารย์สนทนากับหลวงพี่เอว่า "ตอนนี้ความรู้สึกคล้ายจะเป็นเต่า ก็คือ อยู่ในน้ำครึ่ง อยู่บนบกครึ่ง เราก็ว่าเรามาสายปฏิบัติแท้ ๆ แต่หลุดไปสายวิชาการตอนไหนก็ไม่รู้ ไปเรื่อยเปื่อย คราวนี้พอยืนอยู่ตรงกลางมองสองข้าง ก็เหมือนกับเต่า ตูจะขึ้นบกหรือลงน้ำดีวะ ?
ช่วงที่ผ่านมาสอนเขาตามตำรา ก็ต้องอธิบายให้ลูกศิษย์เข้าใจว่า ถ้าเขาถามมาให้คุณตอบตามตำรา แต่ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ ๆ อย่างที่เขาบอกว่ารูปกับเวทนาเป็นวิปัสสนา ส่วนที่เหลือเป็นสมถะล้วน ๆ ถามว่ามีคนเป็นอัลไซเมอร์ไหม ? ลูกศิษย์บอกว่ามีเยอะแยะเลยครับ เออ...แล้วสัญญาเที่ยงไหม ? ถ้าสัญญาเที่ยง คนก็ไม่เป็นอัลไซเมอร์สิ แล้วไหนคุณบอกว่าเป็นสมถะล้วน ๆ ก็ต้องเป็นวิปัสสนาได้
สังขาร การนึกคิดปรุงแต่ง ยั่งยืนยาวนานไหม ? ไม่ยั่งยืนก็เป็นทุกข์ใช่ไหม ? สิ่งที่ไม่ยั่งยืนเป็นทุกข์ เราบังคับบัญชาได้หรือไม่ ? เขาอธิบายไปเรื่อยโดยไม่รู้จริง ก็เข้าป่าเข้าดงไปเรื่อย
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธัมมารมณ์ เขาบอกว่ารูปสามารถกำหนดเป็นสมถะได้ ส่วนที่เหลือกำหนดไม่ได้ จริงไหม ? รูปเราตั้งรูปกสิณขึ้นมา ก็กำหนดได้ ตั้งรูปอสุภกรรมฐานขึ้นมา กำหนดได้ใช่ไหม ? เสียงกำหนดได้ไหม ? ตั้งใจฟังเสียงเกิดสมาธิไหม ? เขาบอกว่าไม่ได้ แล้วฝึกทิพโสตฝึกวิธีไหน ? ก็ต้องตั้งใจฟังเสียง แล้วทิพโสตเป็นสมถะเต็ม ๆ หรือเปล่า ? ต้องไปอธิบายให้ลูกศิษย์ฟังทีละข้อว่าความจริงเป็นอย่างนี้ แต่เวลาสอบคุณตอบตามตำราเพราะเป็นข้อสอบกลาง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวตก เป็นอะไรที่น่าเซ็งมากเลย แต่ก็ต้องทำ
กลิ่นเป็นสมาธิไหม ? ถ้าตั้งใจดม อโรมาเธอราพี คุณเข้าไปนวดไปอะไรสารพัด เขาตั้งใจใช้กลิ่นในการประกอบเพื่อความผ่อนคลายให้เกิดสมาธิใช่ไหม ? คนไหนที่เคยไปสปาจะนึกออกเลย"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-09-2015 เมื่อ 19:27
|