พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยรัชกาลที่ ๕ ผู้ชายเขานิยมไว้หนวดกัน ก็คาดว่าน่าจะเป็นแฟชั่นจากต่างประเทศ บรรดาชาวต่างชาติที่เข้ามาบ้านเรายุคนั้น ส่วนใหญ่ไว้หนวดกันเป็นปกติ แล้วเราไปเห็นว่าเขาเป็นชาติที่เจริญแล้วก็เลยทำตามเขา
ตอนช่วงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างด้วยกัน อย่างเช่นว่าต้องใส่เสื้อ เพราะเขาเห็นว่าการไม่ใส่เสื้อของคนโบราณเป็นความล้าหลังป่าเถื่อน ทั้ง ๆ ที่บ้านเราอากาศร้อน ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ใส่เสื้อกัน ยกเว้นว่าไปวัดไปวาก็มีผ้าห่มผืนหนึ่ง แต่อาจจะห่มพาดเฉย ๆ อีกอย่างก็คือ บรรดาเจ้านายตลอดจนข้าราชการต่าง ๆ พยายามลดการกินหมากลง เพราะเวลากินหมากมักจะบ้วนน้ำหมากกันเลอะเทอะไปหมด
การกินหมากโดนห้ามจริง ๆ ในสมัยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม เขาเรียกว่ายุคมาลานำไทยสู่มหาอำนาจ ให้คนใส่หมวกแบบอารยประเทศ บ้านเราใส่หมวกไม่ได้ ต้องใส่งอบ เพราะบ้านเราอากาศร้อน ไม่มีความจำเป็นต้องใส่หมวกเพื่อรักษาความอบอุ่นของศีรษะ
ในบ้านเราหมากมาหมดเอาจริง ๆ เมื่อไม่นานมานี้เอง รอบข้างเขาก็ยังกินหมากกันเป็นปกติ โดยเฉพาะพม่า ประเทศที่เรานึกไม่ถึงเลยก็คือไต้หวัน ทุกวันนี้ไต้หวันยังกินหมากกันเป็นปกติ สาว ๆ ร้านขายหมากก็ก้าวหน้าเหลือเกิน นุ่งน้อยห่มน้อย บางคนนี่แทบจะเป็นบิกินี่เลย เพราะขายหมากให้หนุ่ม ๆ มิน่า..เขาถึงได้กินกันไม่เลิก จะหาเรื่องไปซื้อหมากนี่เอง"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-09-2015 เมื่อ 02:54
|