"เรื่องพวกนี้ก็เลยทำให้อาตมาเห็นโทษมากกว่าประโยชน์ เพราะว่าคนเรามักจะหักห้ามใจไม่เป็น ในเมื่อหักห้ามใจไม่เป็น ถึงเวลารู้ก็มักจะทุ่มเทเชื่อ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะเพื่อนสหธรรมิกรายหนึ่ง รู้แล้วทุ่มใจเชื่อเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ถึงขนาดอาตมาต้องจับไปส่งเข้าโรงพยาบาลเลย แต่โรงพยาบาลก็เอาไม่อยู่
เนื่องจากว่าสมัยที่อยู่วัด ถ้าไม่ใช่อาตมาแล้วไม่มีใครจับเขาได้ เขาหนีเข้าไปขังตัวเองอยู่ในโบสถ์ ญาติพังประตูเข้าไป เขาเดินทะลุข้างฝาออกไปเฉยเลย แล้วญาติจะทะลุกำแพงตามไปได้อย่างไร ? อาตมาจับตัวได้เรียบร้อย พอส่งไปถึงมือหมอ กำชับอย่างดีเลย “หมอ..ระวังสุดชีวิตเลยนะ เผลอเมื่อไรเขาจะหนีทันที” หมอบอกว่า “ผมยังไม่เคยเจอคนไข้ที่ไหนเขาเก่งกว่าผมเลยครับ” อีกครึ่งชั่วโมงโทรมา “อาจารย์ครับ..เขาหนีไปแล้วครับ” ประตู ๔-๕ ชั้นไม่มีความหมายเลย เพราะเขาสามารถเดินผ่านไปเฉย ๆ ได้ทุกชั้น
อาตมาไปดูสิ่งที่เขาบันทึกเอาไว้ จึงเห็นว่ามารหลอกวิธีไหน เช่นว่า “วันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๘ วันนี้พระมาบอกว่าวาระแห่งมรรคผลมาถึงแล้ว ให้ทุ่มเทให้กับการปฏิบัติให้มากไว้ นักปฏิบัติที่ดีต้องกินน้อย นอนน้อย พูดน้อย ปฏิบัติให้มาก ยิ่งทุ่มเทมากเท่าไรโอกาสที่จะได้มรรคผลก็มีมากเท่านั้น” มีอะไรผิดไหม ? ถ้าเผลอจะคิดว่าไม่ผิดเลย ของผิดอยู่ตอนท้าย ที่ว่าทุ่มเทเท่าไรได้ผลเท่านั้น พ่อเจ้าประคุณก็เลยไม่ยอมนอน ๒ เดือนเต็ม ๆ เดินจงกรมภาวนาอยู่ตลอด ถ้าไม่ใช่ทรงฌานได้คงตายไปนานแล้ว
นี่คือการเห็นสหธรรมิกโดนหลอกขนาดนั้น แล้วทุกวันนี้เขาก็ไม่ยอมโผล่หน้ามาหาอาตมาอีกเลย เพราะกลัวโดนจับไปส่งโรงพยาบาล เป็นที่น่าเสียดายเหมือนกัน นั่นคือลักษณะของการเห็นแล้วเชื่อ เชื่อโดยไม่ยั้งใจไว้เลย"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-08-2015 เมื่อ 09:18
|