เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘
ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตน ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของตน หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัดหรือเคยชินมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ วันนี้มีญาติโยมบางท่านตั้งคำถาม ต้องบอกว่าอยู่ในลักษณะของธรรมขั้นสูง อาตมาฟังแล้วมีความรู้สึก ๒ ประการด้วยกัน ประการแรกคือ ชื่นชมที่เขาขยันหมั่นเพียร ศึกษาพระไตรปิฎกจนแตกฉาน สามารถตั้งข้อสงสัยในสิ่งต่าง ๆ ที่ตนเองพบเห็นในพระไตรปิฎกได้
อีกข้อหนึ่งก็คือ เกิดความไม่ค่อยสบายใจว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จะเป็นสิ่งที่ขวางการปฏิบัติของเขาหรือไม่ ? เนื่องเพราะในการปฏิบัตินั้น ปริยัติคือการศึกษาเล่าเรียนจากตำราหรือจากคำสอนของครูบาอาจารย์ เป็นเพียงแนวทางเท่านั้น การที่เราจะเข้าถึงมรรคถึงผลจริง ๆ นั้นอยู่ที่การทุ่มเทให้กับการปฏิบัติ ไม่เช่นนั้นแล้วการศึกษาตำราเพื่อเอาไปถกเถียงกัน ก็มีแต่จะสร้าง รัก โลภ โกรธ หลง ขึ้นมาในใจของเรามากยิ่งขึ้น กลายเป็นฉันรู้มากกว่า ฉันศึกษามามากกว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง
เหมือนข้อความที่ปรากฏอยู่ในอลคัททูปมสูตร ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงการศึกษาในพระไตรปิฎก เหมือนกับการจับงูข้างหาง มีแต่จะเกิดอันตรายแก่ตนเอง เพราะฉะนั้น..ท่านทั้งหลายเมื่อศึกษาพระไตรปิฎก ตำรา หรือคำสอนครูบาอาจารย์ ได้แนวทางที่พอเหมาะพอควรแก่ตน ก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไป ไม่เช่นนั้นจะอยู่ในลักษณะของเถรใบลานเปล่า ก็คือมีความรู้เฉพาะที่อยู่ในตำรา แต่ไม่มีความรู้จากการปฏิบัติของตนอย่างแท้จริง ถ้าลักษณะอย่างนั้นครูบาอาจารย์บางท่านก็ว่า เป็นพวกมอด พวกปลวก คอยแทะคัมภีร์อย่างเดียว หาได้ประโยชน์จากคัมภีร์มากไปกว่านั้นไม่
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-07-2015 เมื่อ 13:47
|