ฉะนั้น..ในวิปัสสนาญาณทั้งหลายเหล่านี้ เราต้องเห็นให้ได้เป็นปกติในชีวิตประจำวัน เมื่อสภาพจิตของเรายอมรับ ก็ให้พิจารณาต่อไปว่า ขึ้นชื่อว่าความเกิดมาเพื่อมีสภาพเช่นนี้ จะไม่มีอีกสำหรับเรา ถ้าหากว่าตายลงไป เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว
หลังจากนั้นก็ไปพินิจพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องของศีล ว่าเรามีศีลทุกข์สิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์หรือไม่ ? เราล่วงศีลด้วยตนเองหรือไม่ ? ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นล่วงศีลหรือไม่ ? เห็นผู้อื่นล่วงศีลแล้วเรามีความยินดีหรือไม่ ? ทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงจัง ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ แม้ต่อหน้าหรือลับหลัง ตั้งเป้าเอาไว้ให้แน่วแน่ว่า ถ้าตายลงไปเมื่อไร เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว เอาจิตจดจ่ออยู่ในสถานที่สุดท้ายคือพระนิพพาน
ถ้ารู้สึกว่ากระทำได้ไม่ชัดเจน ให้นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง ที่เรารักเราชอบมากที่สุด ว่านั่นคือพุทธนิมิตแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อยู่บนพระนิพพาน เรากำหนดนึกถึงท่านได้ เราเห็นท่านได้ คือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับพระองค์ท่านคือเราอยู่กับพระนิพพาน แล้วภาวนาเอาใจเกาะเอาไว้เช่นนั้น ขอให้ทุกคนตั้งกำลังใจไว้ในลักษณะนี้ จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-06-2015 เมื่อ 15:00
|