เมื่อเอาทั้ง ๔ อย่างมารวมกันเข้า มีหัว มีหู มีหน้า มีตา เราที่เป็นดวงจิตมาปฏิสนธิ อาศัยอยู่ชั่วครั้งชั่วคราวตามบุญตามกรรม เข้าไปยึดว่าเป็นตัวเราของเรา เราต้องมีสติอยู่เสมอว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นเพียง ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เป็นสมบัติของโลก ถึงเวลาก็ต้องเสื่อมสลายตายพัง คืนโลกไปตามเดิม ตัวเราก็เป็นเช่นนี้ ตัวคนอื่นก็เป็นเช่นนี้ สัตว์อื่นก็เป็นเช่นนี้ วัตถุธาตุต่าง ๆ ก็เป็นเช่นนี้
เมื่อเราเห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยงเป็นปกติ เป็นทุกข์อยู่เป็นปกติ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราอยู่เป็นปกติ เราก็ต้องถามตัวเองว่า ขึ้นชื่อว่าร่างกายที่ไม่เที่ยงอย่างนี้ เป็นทุกข์อย่างนี้ ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราอย่างนี้ เรายังอยากได้ใคร่มีหรือไม่ ? ถ้าเราไม่อยากได้แล้ว เราต้องทำอย่างไร ?
ถ้าตอบตนเองจริง ๆ ว่าไม่อยากได้แล้ว เราก็ต้องหาที่สำหรับเป็นเครื่องยึดเครื่องเกาะของจิตในเบื้องต้น ก็คือเอาจิตของเราเกาะภาพพระพุทธรูปหรือพระนิพพานเอาไว้ ตั้งใจว่าถ้าเราหมดอายุขัยตายลงไปวันนี้ก็ดี เกิดอุบัติเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิตลงไปก็ตาม เราขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้าที่พระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น
เมื่อแรกเราจำเป็นต้องยึดเกาะ เพื่อความมั่นคง เพื่อความแน่นอน แต่พอเราสะสม ศีล สมาธิ ปัญญา ไปถึงระดับหนึ่ง ก็จะปล่อยจากการยึดเกาะโดยอัตโนมัติ ถึงตอนนั้นเราจึงไปพระนิพพานได้จริง ๆ เพราะถ้าเรายังยึดเกาะอยู่ แม้จะเป็นความดีก็ตาม เราก็ยังไปพระนิพพานไม่ได้ แต่ถ้าสั่งสม ศีล สมาธิ ปัญญา จนเพียงพอ เกิดการปล่อย ละ วาง ลงได้ สภาพจิตเราก็จะหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน
ดังนั้น..บางท่านที่อาจจะสงสัยว่าถ้าเราเกาะพระ หรือเกาะพระนิพพาน แล้วเราไปพระนิพพานได้จริงหรือ ? ขอยืนยันว่าถ้ายังเกาะอยู่ ไปไม่ได้ เลิกเกาะเมื่อไร ไปได้เมื่อนั้น แล้วเราจะเลิกเกาะเมื่อไร ? บางทีผู้ที่เลิกเกาะก็ยังไม่รู้ ไม่ทราบเหมือนกันว่าตนเองเลิกเกาะเมื่อไร เหมือนกับเราเกาะราวบันไดขึ้นไปสู่ห้องชั้นบน บางทีเราเดินเข้าห้องไปแล้วยังไม่รู้ว่าตนเองปล่อยราวบันไดเมื่อไร เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงเป็นเรื่องที่ตอบไม่ได้ว่าเราจะปล่อย ละ วาง จริง ๆ เมื่อไร แต่สติเราต้องรู้อยู่เสมอว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่ปรารถนาอีกแล้ว เราต้องการพระนิพพานเท่านั้น
หลังจากนั้นก็ทบทวน ศีล สมาธิ ปัญญา ของเราเอาไว้อยู่บ่อย ๆ ทุกวัน เพื่อเป็นการตอกย้ำความมั่นคงให้เกิดแก่จิต ว่าเราไม่ต้องการร่างกายนี้แน่ ๆ ไม่ต้องการโลกนี้แน่ ๆ ถ้าหากว่าการสั่งสมในเรื่องของความดีนี้เพียงพอเมื่อไร เราก็จะก้าวล่วงจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานเมื่อนั้น
ลำดับต่อไปให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าอ่อน)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 10-11-2019 เมื่อ 20:47
|