ในเมื่อเราเห็นว่าทั้งสองรูปแบบล้วนแต่มีจุดอ่อน คือในส่วนของเจโตวิมุตินั้น ถ้าเรากดกิเลสไม่อยู่ รัก โลภ โกรธ หลง ตีกลับ เราก็จะโดนกิเลสกระหน่ำตีชนิดไม่เป็นผู้ไม่เป็นคน โอกาสที่จะทรงความดีคืนมาก็ยาก เพราะกิเลสรู้ตัวเสียแล้ว ว่าเราตั้งใจที่จะกวาดล้างเข่นฆ่าไปจากใจ
ในส่วนของปัญญาวิมุตินั้น เนื่องจากว่าไม่มีกำลังของสมาธิคอยหนุนเสริม เราอาศัยความอดทนอดกลั้นต่อสู้ฟันฝ่าพิจารณาไปเรื่อย ๆ จนกว่ากำลังสมาธิจะทรงตัวถึงระดับที่พอตัดกิเลสได้ ก็เป็นเรื่องที่ยากเย็นเข็ญใจมาก ดังนั้น..จึงควรปฏิบัติทั้งสองอย่างร่วมกัน ก็คือภาวนาจนกำลังใจทรงตัว จิตมีพลังแล้ว เราก็หันมาพิจารณาวิปัสสนาญาณต่าง ๆ เมื่อพิจารณาวิปัสสนาญาณไปเรื่อย ๆ จนสภาพจิตทรงตัว ก็จะกลับไปภาวนาโดยอัตโนมัติอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อภาวนาจนถึงที่สุด สภาพจิตไม่สามารถดำเนินไปในสมาธิต่อไปได้ ก็จะถอยออกมา คลายออกมา เราก็เอากำลังนั้นรีบมาพิจารณาในวิปัสสนาญาณใหม่ ทำอย่างนี้สลับกันไปสลับกันมา ความก้าวหน้าในการปฏิบัติถึงจะมีขึ้นได้
แม้ว่าบุคคลที่บรรลุโดยวิปัสสนาล้วน ๆ เป็นปัญญาวิมุติ ที่เรียกว่าวิปัสสนายานิกมีอยู่ บุคคลที่บรรลุโดยเจโตวิมุติ ใช้กำลังสมาธิกดกิเลสเอาไว้ จนกิเลสบังเกิดขึ้นไม่ได้ แล้วตั้งเป้าว่าไม่ปรารถนาที่จะมาเกิดในร่างกายนี้ หรือว่าเกิดมาในโลกนี้ ปรารถนาอย่างเดียวก็คือพระนิพพาน เป็นการบรรลุแบบสมถยานิกก็มีอยู่ แต่เป็นไปได้ยากมาก เราจึงควรที่จะใช้วิธีที่สะดวกและง่าย ก็คือภาวนาและพิจารณาสลับกันไปดังนี้ ความก้าวหน้าในการปฏิบัติถึงจะมีขึ้นแก่พวกเราและสามารถเห็นผลได้ง่าย
ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าอ่อน)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-03-2015 เมื่อ 19:09
|