| 
				 ท่านอิคยุ (หน้า ๒) 
 
			
			เรื่องที่เล่าต่ออีกในกาลเวลาระยะหลัง ตอนใกล้สิ้นอายุขัยของหลวงพ่อผู้เฒ่าว่าครั้งนั้น ขณะที่หลวงพ่อสำรวมจิตจวนจะทำกาลกิริยาอยู่นั้น
 ท่านอาจารย์ใหญ่อิคยุก็คลานเข้าไปกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า
 กระผมต้องบอกหนทางให้หลวงพ่อไหมครับ!
 
 หลวงพ่อยังมีสติดีอยู่ ตอบแผ่ว ๆ ว่า
 ฉันมาก็มาแต่ลำพังผู้เดียว เวลาจะไปก็ไปแต่ลำพังผู้เดียว เจ้าจะมาช่วยอะไรได้เล่า!
 
 พอดีท่านอาจารย์อิคยุก็ตอบขึ้นด้วยถ้อยคำว่า
 หากหลวงพ่อนึกว่าหลวงพ่อเกิด, แล้วหลวงพ่อต้องตายจริง ๆ แล้ว
 นั่นยังถูกบดบังห่อหุ้มด้วยความไม่รู้อยู่อีกนะครับ!
 
 ถ้าอย่างนั้นผมจะบอกทางให้หลวงพ่อละ!
 ทางที่ไม่ต้องเรียกว่าเกิด ไม่ต้องเรียกว่าตาย อย่างไรเล่าครับหลวงพ่อ!
 
 พอสิ้นประโยคถ้อยคำสำคัญยิ่งของลูกศิษย์ หลวงพ่อก็พริ้มดับ นิทานก็จบ
 
 จากเรื่องราวที่เล่ามานี้ เราท่านย่อมทราบแล้วว่านิทานเรื่องนี้ทั้งหมด
 มันมาขมวดปมคมคายที่คำบอกหนทางให้แก่คนใกล้จะตายนิดเดียว
 แต่ถึงกระนั้นก็ถือว่าเป็นคำพูดที่มีค่าแท้จริงสำหรับอาจารย์ผู้เฒ่าผู้จะลาลับโลกไป
 
 ถ้อยคำที่พูดให้ถูกกาละไม่กี่คำ ในสภาพการณ์นั้น ๆ ต่อบุคคลนั้น ๆ ขณะฉับพลันนั้น ๆ
 ย่อมไม่อาจเกิดผลแก่คนอื่น ที่อยู่ในสภาพอื่น เวลาอื่น
 แต่ก็เป็นข้อความที่น่าสนใจ ฟังไว้บางทีจะเกิดประโยชน์
 
 อย่างน้อยก็เพียงรู้ว่ามันลึกก็ยังดี ที่จะลึกไปแค่ไหนนั้น
 เราควรมาวิเคราะห์กันตามแต่กำลังความคิดเห็น...
 ที่ศิษย์เสนอตัวเข้าไปถามหลวงพ่อ ทำนองหยั่งความรู้ในขณะท่านใกล้จะตายเสียก่อนนั้น
 เป็นวิธีทั่ว ๆ ไปของอาจารย์เซ็น เพราะคนเราระยะหนึ่ง ๆ มิได้มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพียงสิ่งเดียวเป็นอารมณ์
 
 ศิษย์จึงถามนำเพื่อหยั่งสภาวะจิตดูก่อนว่า...
 กระผมต้องบอกหนทางให้ไหมครับ หลวงพ่อ?
 พอหลวงพ่อตอบมา จึงเหมือนกับทำให้ศิษย์รู้ว่า
 หลวงพ่อกำลังคิดนึกรู้สึกต่อสิ่งทั้งปวงในขณะใกล้จะตายว่าอย่างไร
 (เมื่อรู้ภาวการณ์แล้ว ศิษย์ก็เริ่มบอกทางเอาจริง ๆ แต่บอกแบบทันควัน
 ถ้าฟังเผิน ๆ ก็เหมือนโต้ตอบธรรมดา หรือไม่เป็นการสอนชี้บอกแต่อย่างไร)
 
 หลวงพ่อตอบออกมาว่า
 ฉันมาก็มาแต่ตัว ขาไปก็จะไปแต่ตัว จะให้ใครมาช่วยได้
 คำพูดอย่างนี้ตรงกับความรู้ธรรมะที่สอน ๆ สวด ๆ กัน สำหรับเหล่าชาววัด
 ใครก็ถือว่าเป็นวิธีบริกรรม คราวพยายามจะปลงทุกสิ่งทุกอย่าง
 แม้ฝ่ายเถรวาทในเมืองไทยเราก็สอนกันอยู่ทั่วไป
 คือสอนมิให้เป็นห่วงเป็นใยจนเป็นเรื่องรบกวนต่อการตั้งสมาธิจิตเวลาใกล้จะตาย
 
 ส่วนพวกพุทธศาสนาอย่างเซ็นนั้น เขายังถือว่าขณะดับจิตถ้ายังมีตัวตน
 สำหรับจะมาตั้งปรารถนาใคร่จะปลงว่า ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของกูนั้น
 ยังไม่พอ ยังไม่ถึงขั้นปลอดภัย
 ท่านอาจารย์อิคยุจึงรู้ว่าภายในดวงความคิดของหลวงพ่อผู้เฒ่า
 ขณะนั้น ยังมีตัวตนที่ได้เกิดมา มีตัวที่พยายามจะปลงเมื่อตนเองต้องตาย
 
 ฉะนั้นท่านจึงฟื้นพลิกความรู้สึกริบหรี่ของหลวงพ่อ ให้จับเหง้าแห่งความรู้สึกเสียใหม่
 คือ หนทางอีกลักษณะหนึ่ง โดยเตือนว่า ไม่ใช่ทางที่มีคนเกิดมา
 มีคนกำลังเดินอยู่และกำลังจะไป
 แต่เป็นทางที่ไม่ถือว่ามีการเกิดและ แน่ละ ถ้าไม่มีการเกิดก็ไม่ต้องมีการตาย
 คือ ตายเสียก่อนแล้ว ก่อนที่มันจะดับจิตตายไป
 
 เมื่อหลวงพ่อถอนความรู้สึกภายในเสียทัน สับหัวประแจเข้ารางใหม่
 เรื่องมันก็เป็นอันเสร็จกิจ ภาระจะต้องพะวงอะไรมิได้มีด้วยประการฉะนี้
 
 ดูเอาเถิดท่านทั้งหลาย ข้อความเป็นไปในนิทานนี้ เขาชี้นิดเดียว
 ตรงความหมายอันสำคัญยิ่งคือที่ว่า ให้ตายเสียก่อนตาย ซึ่งนิทานนี้คงจะให้ความกระจ่างมากอยู่
 
 คือ ตาย คำแรกหมายถึงดับความรู้สึกส่วนลึกประจำใจที่ว่าเรานั้น
 (ซึ่งอาจเรียกชื่อว่า ว่างจากตัวตน หรือใช้คำพูดว่ามีสุญตาเป็นอารมณ์ของจิต)
 ก่อนที่จิตจะดับวุบไปเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้
 
 ด้วยอาการหลุดพ้นไม่ต้องกลับมาเกิด มีภพมีชาติอีก ของคนที่ทำได้เช่นนี้
 ก็คือพระอรหันต์ประเภทชีวิตสมสีสี นั่นเอง
 
 จาก หนังสือ เล่านิทานเซ็น
 เล่าเรื่องโดย อ.อภิปัญโญ
 เผยแพร่โดย ธรรมสภา
 
				__________________การรักษากำลังใจสำคัญที่สุด...ได้ดีอย่าฟู แล้วขณะเดียวกันว่า ถ้าได้ร้ายก็อย่าฟุบ ให้เห็นว่ามันเป็นปกติของมัน เรื่องของมัน
 ถ้ามันดีมาพออาศัยได้ก็ดีกับมันไป ถ้าหากว่ามันไม่ดีมา เราอยู่กับมันก็ให้รู้อยู่มีสติอยู่ ถึงเวลาก็ต่างคนต่างไปอยู่แล้ว...
 กำลังใจของเราพลาดแม้แค่วินาทีเดียวนี่ อาจจะหมายถึงแพ้ทั้งกระดาน
 อะไรมันก็ไม่เจ็บปวดเท่ากับต้องเกิดใหม่ มันเป็นทุกข์ เป็นโทษสุด ๆ จริง ๆ
 กระโถนข้างธรรมาสน์ ฉบับที่ ๕๑
 |