เทศน์วันมาฆบูชา ๒๕๕๘
(วันพุธที่ ๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘)

นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธาน สาสนนฺ ติฯ
ณ บัดนี้อาตมภาพรับหน้าที่วิสัชนาในโอวาทปาฏิโมกขกถา เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญาบารมี เพิ่มพูนกุศลบุญราศีแก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ที่พร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันมาฆบูชา ณ วัดท่าขนุนแห่งนี้
ญาติโยมทั้งหลาย วันมาฆบูชานี้เป็น ๑ ใน ๔ วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของเรา ที่ประกอบไปด้วย
วันมาฆบูชา ซึ่งตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๓ หรือถ้าเป็นปีที่มีอธิกมาส คือปีที่มีเดือนเกินมา ได้แก่ เดือน ๘ สองหน ก็จะตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๔ อย่างเช่นปีนี้ เป็นต้น
วันวิสาขบูชา ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖
วันอัฐมีบูชาตรงกับวันแรม ๘ ค่ำเดือน ๖ และ
วันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ ซึ่งถ้าในปีที่เป็นอธิกมาสนั้น วันวิสาขบูชาก็จะเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๗ วันอัฐมีบูชาตรงกับวันแรม ๘ ค่ำเดือน ๗ และวันอาสาฬหบูชาตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ หลัง ดังนี้
สำหรับวันมาฆบูชานั้น เพิ่งจะมีปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก ในสมัยรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นี้เอง เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ของเรานั้น พระองค์ท่านบวชอยู่เป็นระยะเวลายาวนานถึง ๒๗ พรรษา ในระหว่างนั้นก็ทรงค้นคว้าหาความรู้ต่าง ๆ ทางพระพุทธศาสนาจนแตกฉานช่ำชองเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ท่านทรงเห็นว่า วันมาฆบูชานั้นควรที่จะเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในพระพุทธศาสนาได้ เนื่องจากเป็นวันที่ถึงพร้อมด้วยองค์ ๔ ซึ่งเรียกเป็นภาษาบาลีว่า
“จาตุรงคสันนิบาต” มี ๔ สิ่งสำคัญที่ปรากฏพร้อมกันในวันนั้นก็คือ
๑. เป็นวันที่พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ ก็คือขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๓
๒. มีพระสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ องค์มารวมกันโดยมิได้นัดหมาย
๓. พระสงฆ์ทั้งหมดนั้น เป็นผู้ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานการบวชให้ด้วยพระองค์เอง เรียกว่า การบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา
๔. พระสงฆ์ทั้งนั้นล้วนแล้วแต่เป็นพระอรหันตขีณาสพ เป็นผู้ที่หมดสิ้นกิเลสแล้วโดยสิ้นเชิง
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพิจารณาดังนั้นแล้ว เห็นว่าวันมาฆบูชานั้นควรที่จะจัดให้เป็นประเพณี เพราะเป็นวันสำคัญในพระพุทธศาสนา จึงได้ดำเนินการทำบุญเลี้ยงพระ ฟังเทศน์ฟังธรรมขึ้นมาเป็นครั้งแรกในรัชสมัยของพระองค์ท่าน หลังจากนั้นก็นิยมจัดกันต่อเนื่องสืบ มาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้นประเพณีวันมาฆบูชาจึงมีมาทีหลังสุด หลังจากวันวิสาขบูชา วันอัฐมีบูชา และวันอาสาฬหบูชา แต่ว่าวันมาฆบูชาก็ได้รับความสำคัญในระดับเดียวกัน กับวันวิสาขบูชาและวันอาสาฬหบูชา
ยกเว้นวันอัฐมีบูชาซึ่งเป็นวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระในวันแรม ๘ ค่ำเดือน ๖ ซึ่งห่างจากวันวิสาขบูชาแค่ ๗ วันเท่านั้น หลายแห่งจึงไม่สะดวกที่จะจัดงานติด ๆ กัน ทำให้ความสำคัญของวันอัฐมีบูชาลดน้อยถอยลง ปัจจุบันนี้ในประเทศไทย ก็มีแค่ ๓ – ๔ แห่งเท่านั้น ที่จัดให้มีงานวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ที่เรียกว่า วันอัฐมีบูชา นอกนั้นก็ไม่ได้จัด
ดังนั้น..วันมาฆบูชาแม้ว่าจะมาทีหลัง แต่ว่าได้รับความสำคัญพอ ๆ กับวันวิสาขบูชาและวันอาสาฬหบูชา ส่วนวันอัฐมีบูชาที่ได้รับการยอมรับกันมาตั้งแต่ต้นกลับไม่นิยมจัดกัน จนกระทั่งเลือนหายไป ทำให้บางท่านพอได้ยินว่าวันอัฐมีบูชา ก็ยังสงสัยว่าเป็นวันอะไรกันแน่