ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 16-01-2015, 10:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,696
ได้ให้อนุโมทนา: 152,041
ได้รับอนุโมทนา 4,418,101 ครั้ง ใน 34,286 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การที่เราจะสร้างสติของเราให้สมบูรณ์บริบูรณ์นั้น ต้องเน้นตรงสมาธิภาวนา การที่เราระมัดระวังรักษาศีลทุกสิกขาบท เป็นการสร้างสมาธิอยู่แล้ว ดังนั้น..ผู้ใดที่รักษาศีลให้ทรงตัวได้ จะเจริญสมาธิได้ง่ายมาก แต่ว่าเมื่อสมาธิทรงตัวแล้ว สติของเราจะรู้รอบ ขยับตัวก็รู้ว่าศีลจะขาดหรือไม่ ขยับปากจะพูดก็รู้ว่าศีลจะขาดหรือไม่

และเมื่อจิตของเราสงบนิ่งด้วยอำนาจของสมาธิ ก็จะเกิดปัญญา รู้เห็นว่าสิ่งทั้งหลายที่เราทำนั้น เป็นประโยชน์หรือไม่ใช่ประโยชน์ เป็นโทษหรือไม่ใช่โทษ แล้วเราก็มาละเว้นในสิ่งที่เป็นโทษ กระทำ กาย วาจา ใจ ของเรา ให้คิด ให้พูด ให้ทำ ในส่วนที่เป็นประโยชน์เท่านั้น

แล้วใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นว่า สภาพร่างกายของเรานี้ก้าวไปสู่ความตายเป็นปกติ ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ ก็ต้องลำบากทุกข์ยากเพราะร่างกายสารพัด หิวต้องหาให้ร่างกายนี้กิน กระหายต้องหาให้ร่างกายนี้ดื่ม เจ็บไข้ได้ป่วยต้องคอยดูแลรักษาพยาบาล ร้อนต้องหาเครื่องบรรเทาให้ เย็นเกินไปก็ต้องหาเครื่องทำความอบอุ่นให้ สกปรกโสโครกก็ต้องคอยชำระล้างอยู่ทุกวัน วันละหลายเวลา ถ้าปัญญาเรารู้เห็นลักษณะนี้ ก็จะเกิดความเบื่อหน่ายในร่างกายนี้ ในเมื่อเบื่อหน่ายในร่างกายนี้ ไม่พึงปรารถนาที่จะเกิดมาในร่างกายนี้อีก ก็แปลว่าเราไม่ปรารถนาจะมาเกิดในโลกนี้อีก

ดังนั้น..จึงต้องทำความเข้าใจต่อไปว่า แม้จะเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า หรือเป็นพรหมก็ตาม เราก็พ้นทุกข์แค่ชั่วคราว ถ้าหมดบุญก็จะต้องลงมาเกิด ลำบากทุกข์ยากในโลกนี้ต่อไป หรือว่าถ้าอาการหนัก พลาดตกลงสู่อบายภูมิ ถ้าไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ยังดี หนักกว่านั้นก็ต้องไปทุกข์ทรมานในสภาพของอสุรกาย ของเปรต หรือว่าต้องลำบาก โดนจำกัดเขต โดนลงโทษอยู่ตลอดเวลา ด้วยความร้อนหรือว่าอาวุธ อย่างเช่นนรก เป็นต้น

เมื่อเห็นดังนั้นเราก็จะรู้สึกเบื่อหน่าย หมดอยาก ไม่มีความปรารถนาทั้งในร่างกายของตนเอง ทั้งในร่างกายของผู้อื่น แม้กระทั่งการเกิดมาในโลกนี้หรือโลกอื่น ๆ เราก็เอาสภาพจิตของเรา เกาะพระนิพพานเอาไว้ ตั้งใจนึกถึงภาพพระพุทธนิมิตองค์ใดองค์หนึ่ง จะเป็นพระพุทธรูปแบบใดแบบหนึ่งที่เราชอบก็ได้ เช่น สมเด็จองค์ปฐมก็ได้ พระวิสุทธิเทพก็ได้ พระแก้วมรกตก็ได้ พระพุทธชินราชก็ได้ เป็นต้น หรือว่ามีพระเครื่องที่ติดตัวของเรา ในรูปของพระพุทธเจ้าแบบใดแบบหนึ่ง เราก็นึกถึงพระเครื่องของเรา ที่เรารักเราชอบมากที่สุด ว่านั่นคือองค์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ตั้งใจว่าถ้าหมดอายุขัยตายลงไปก็ดี หรือเกิดอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ถึงแก่ชีวิตลงไปก็ตาม เราขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น

หลังจากนั้นก็ให้ดูว่า เรายังมีลมหายใจเข้าออก หรือมีคำภาวนาอยู่หรือไม่ ? ถ้าลมหายใจเบาลง หรือว่าหายไป คำภาวนาหายไป ก็กำหนดใจรับรู้ไว้เฉย ๆ อย่าไปตกใจแล้วเริ่มหายใจใหม่ หรืออย่าพยายามตะเกียกตะกายเพื่อให้เข้าสู่สภาพการไม่หายใจ การไม่ภาวนา เรามีหน้าที่กำหนดดู กำหนดรู้ไปเท่านั้น สภาพร่างกาย ตลอดจนกระทั่งการภาวนาจะมีหรือไม่มี เรามีหน้าที่ตามรู้อย่างเดียว จะเป็นหรือไม่เป็นก็ช่าง ให้ทุกคนรักษาสภาพใจเอาไว้อย่างนี้ จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๘

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2015 เมื่อ 16:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา