ยอมแลกชีวิตได้เพื่อธรรมะ
			 
			 
			
		
		
		
			
			ในอดีตพระพาหิยะกับเพื่อนพระอีก  ๔  รูป ตั้งใจว่าจะปฏิบัติธรรมให้เต็มที่ ชนิดเอาชีวิตเข้าแลก ก็เลยทำบันไดขึ้นไปบนหน้าผา   พอไปถึงถ้ำใหญ่กลางภูเขา  ก็ถีบบันไดทิ้ง  ตั้งใจว่า ถ้าไม่สำเร็จพระอรหันต์ก็ยอมอดตายที่นี่แหละ..! 
 
วันแรกเพื่อนคนหนึ่งสำเร็จพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ จึงเหาะไปบิณฑบาต  เอาอาหารมาเผื่อ  แต่อีก  ๔  รูปท่านไม่ยอมฉัน  เพราะตั้งใจว่า ถ้าไม่ได้มาด้วยความสามารถของตัวเองก็ให้ตายไปเลย  ตัดใจได้ขนาดนั้น..!    
 
วันที่สองวันที่สาม  เพื่อนอีกสองรูปได้เป็นพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ  บิณฑบาตอาหารมาเผื่อ  เพื่อนที่เหลือก็ไม่ยอมฉัน  วันที่สี่เพื่อนอีกท่านหนึ่งทำได้แค่พระอนาคามี  ไปเกิดเป็นพรหม  สงสัยว่าจะเป็นลมตาย  เหลือแต่พระพาหิยะ  ทำไปจนหมดลมหายใจ ก็ยังไม่ได้อะไรเลย     
 
ในชาตินี้ท่านมาเกิดในตระกูลพ่อค้า ในบาลีบอกว่านำเรือสินค้าไปค้าขายที่สุวรรณภูมิ   สุวรรณภูมินี่ดังตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลอีก เพราะในพระมหาชนกก็ไปค้าขายที่สุวรรณภูมิ    
 
พระพาหิยะไปเจอคลื่นลมปะทะ  ทำให้เรือแตก   โดนน้ำซัดไปติดบนชายหาด  ผ้าผ่อนหายหมด  ท่านก็เลยเอาสาหร่ายมาพันตัว พวกชาวบ้านเห็นเป็นของแปลก  คิดว่าบุคคลที่งมักน้อยขนาดนี้   ผ้าก็ไม่ใส่  น่าจะเป็นพระอรหันต์แน่  ก็เลยเอาพวกปัจจัย พวกอาหารมาถวาย  พระพาหิยะรู้สึกว่า แต่งตัวแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน  มีคนเคารพนับถือ ให้การบำรุงเลี้ยงดู  ท่านก็เลยทำตัวแบบนั้นมาเรื่อย ๆ  
 
เมื่อเขาสรรเสริญว่าท่านเป็นพระอรหันต์มากเข้า ๆ  ท่านก็ลืมตัว  นึกว่าตัวเองเป็นแล้วจริง ๆ   เพื่อนที่ไปเป็นพรหมมองลงมาเห็นเข้า  กลัวว่าท่านจะสูญประโยชน์ใหญ่ในชีวิต  ก็เลยลงมาเตือน  บอกให้นึกถึงชาติก่อนที่ตนเองอดตายอยู่บนหน้าผา โดยไม่ได้ความดีอะไรเลย แล้วชาตินี้อยู่ ๆ จะเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร   
 
พระพาหิยะก็สลดใจขึ้นมา จึงถามว่า "ถ้าอยากจะเป็นพระอรหันต์ จะต้องทำอย่างไร ?" 
 
เพื่อนที่เป็นพรหมบอกว่า  ขณะนี้พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก  ให้เดินทางไปในทิศนั้น ๆ เป็นระยะทางกี่โยชน์ ๆ แล้วจะได้เจอ    
 
ด้วยความที่ท่านอยากจะพ้นทุกข์  อยากเป็นพระอรหันต์  ท่านเดินทางคืนเดียว  ๑๒๐  โยชน์ (๑  โยชน์  =  ๑๖  กิโลเมตร)  เป็นสมัยนี้คงต้องเหยียบรถแข่งทั้งคืนกว่าจะถึง    
 
เมื่อไปถึงก็พบพระพุทธเจ้ากำลังบิณฑบาตอยู่  ท่านก็ไปกราบ  ขอฟังธรรม  พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ใช่เวลาอันควร พระพาหิยะกราบทูลว่า ท่านเดินทางมาทั้งคืน ไม่มั่นใจว่าจะมีชีวิตอยู่รอดจนได้ฟังธรรมหรือไม่  ขอให้พระพุทธองค์เทศน์โปรดเถิด  พระพุทธเจ้าทรงห้ามถึงสองวาระ  พอวาระที่สามพระพุทธองค์จึงเทศน์สั้น ๆ ว่า พาหิยะ  เธอจงอย่าสนใจในรูป  ท่านได้ฟังแล้วก็บรรลุมรรคผล   
 
แต่คราวนี้ในอดีตท่านไม่เคยได้ถวายผ้าไตรจีวรในพระพุทธศาสนา จึงไม่สามารถจะบวชเป็นเอหิภิกขุได้    เพราะว่าถ้าเคยถวายผ้าไตรจีวรไว้  เวลาพระพุทธเจ้าตรัสเอหิภิกขุ จะมีเครื่องอัฐบริขารสำเร็จด้วยฤทธิ์ลอยมา    
 
พระพุทธเจ้าจึงให้ท่านไปหาผ้ามาทำจีวร    ด้วยความที่ท่านบรรลุมรรคผลแล้วยังเป็นฆราวาส จึงมีกรรมมาตัดรอน  อรรถกถาบอกว่ายักษิณีแปลงเป็นวัวแม่ลูกอ่อนมาขวิดตาย  แต่ตายแบบนั้นก็ดี เพราะว่าพระพุทธเจ้าทำการฌาปนกิจศพให้เลย   สั่งให้สร้างสถูปขึ้นมาเพื่อบรรจุอัฐิท่านไว้บูชา  เป็นเครื่องยืนยันว่าท่านเป็นพระอรหันต์แน่ 
 
พระพุทธเจ้าทรงยกย่องพระพาหิยะที่ไปพระนิพพานแล้ว  ไว้ในฐานะที่เลิศกว่าผู้อื่น  คือ  เป็นผู้ตรัสรู้เร็ว   
 
เรามาดูตรงที่ว่าเร็วนั้น เป็นความเร็วในชาติปัจจุบัน  ชาติก่อนถึงขนาดอดตายที่หน้าผา  แต่ก็แปลว่าความดีที่ท่านสั่งสมมาสมบูรณ์พร้อมแล้ว  ดูตรงวิริยะ  ความพากเพียร  เดินทางคืนเดียว  ๑๒๐  โยชน์เพื่อไปฟังธรรม  แค่ความเพียรระดับนี้เราก็สู้ไม่ได้แล้ว  ความเพียรความมุ่งมั่นเกินร้อย  ในชาติก่อนกระทั่งชีวิตก็ไม่อาลัยเพื่อแลกกับธรรมะ  ก็แปลว่าจริง ๆ แล้วกำลังใจของท่านใกล้เคียงมากเลย  เพียงแต่ว่าไปอดตายเสียก่อน ไม่สามารถที่จะเข้าถึงจุดสุดท้าย ได้เป็นเอตะทัคคะทางขิปปาภิญญา   คือ เป็นผู้ตรัสรู้เร็ว  ฟังธรรมแค่หัวข้อสั้น ๆ  เท่านั้นก็บรรลุแล้ว 
 
อรรถกถาเขาอธิบายว่า ที่พระพุทธเจ้าตรัสห้ามท่านก่อน  เพราะว่ากำลังใจของท่านตอนนั้นมากเกินไป   กำลังใจในการที่จะเข้าถึงธรรม รู้ธรรม  จะต้องพอเหมาะพอดี  ของท่านมาด้วยความอยากบรรลุสุด ๆ  พระพุทธเจ้าทรงห้ามไว้ถึงสองวาระ  พอห้ามเข้ากำลังใจลดลงไปหน่อย  พอห้ามอีกทีลดลงไปอีกหน่อย  พอดีได้ที่เลย  ถ้าเทศน์ตั้งแต่แรกจะไม่มีผล  เพราะมีความอยากมากเกินไป 
 
พวกเราหลายคนปฏิบัติธรรม  เราก็อยากบรรลุมรรคผล  ต้องพยายามหน่อย   พยายามตรงที่ว่าทำอย่างไรอย่าให้อยากมากจนเกินไป  เราอยากที่จะบรรลุธรรม เกิดฉันทะขึ้นมา  ก็ตั้งหน้าตั้งตาพากเพียรปฏิบัติไป  แต่ว่าดูให้พอเหมาะพอดี   เกินก็ไม่ได้  ขาดก็ไม่ได้  ในส่วนของมัชฌิมาปฏิปทานั้นพูดยาก เพราะว่าของแต่ละคนไม่เท่ากัน 
 
 
เทศน์(ช่วงสาย) ณ  บ้านอนุสาวรีย์ 
๕  กรกฎาคม  ๒๕๕๒
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
				........................ 
 
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง 
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
			 
		
		
		
		
		
			
				  
				
					
						แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-12-2016 เมื่อ 03:52
					
					
				
			
		
		
		
	
	 |