เคยทำอย่างนี้แล้วรู้สึกว่าเป็นวิธีที่ดีทีเดียว  คือพิจารณาว่า เรื่องของ โลภะ โทสะ  โมหะ นั้น เป็นสมบัติของร่างกาย   เพราะฉะนั้น..ปกติจะต้องมีอยู่แล้ว   เอ็งจะมีก็มีไป  แต่ข้าไม่ให้ความร่วมมือกับเอ็ง  เหมือนที่เคยเปรียบว่า เหมือนลวกก๋วยเตี๋ยวใส่น้ำเปล่า  ส่งไปให้ใครเขาจะกิน   
 
ที่ก๋วยเตี๋ยวอร่อยชวนกินได้เพราะอะไร ? เพราะเราใส่พริก ใส่น้ำส้ม  ใส่น้ำตาล  ใส่หมูสับ  ใส่ผงชูรส ยิ่งใส่ยิ่งอร่อย ก็เลยกินไม่เลิก  เหตุที่กินไม่เลิก  เพราะมีการปรุงเพื่อเพิ่มรสชาติ   
 
เรื่องของราคะ  โลภะ  โทสะ  โมหะ ก็เช่นกัน ที่เราไม่เลิกไม่ละเว้น  ไม่ปล่อยวาง ก็คือ เราไปปรุง ไปคิดเพิ่ม   ในเมื่อเราไปคิดเพิ่ม ก็เกิดอารมณ์ไปทาง ราคะ โลภะ  โทสะ  โมหะ แล้วแต่เหตุการณ์นั้น  ๆ    
 
ถ้าเกิดเราไม่คิด สิ่งนั้นก็เกิดขึ้น  ตั้งอยู่  ดับไปของเขาเอง เราไม่คิดก็เหมือนเราไม่เอาเชื้อไปต่อ ไฟที่จุดขึ้นมาไม่มีเชื้อที่จะต่อ  ก็ต้องดับไปเองโดยธรรมชาติ 
 
จริง ๆ แล้ว ถ้าเรารู้เท่าทัน ไม่ให้ความร่วมมือไปนึกคิดปรุงแต่ง เรื่องของ รัก โลภ โกรธ หลง  ก็ทำอันตรายเรายาก  ที่ทำอันตรายเราได้เพราะเราไปคิด  แบบที่หลวงพ่อชาท่านบอกว่า เหมือนกับแทะเนื้อติดกระดูก  แทะไปก็ไม่ได้เป็นอรรถเป็นธรรมอะไรขึ้นมาหรอก  อร่อยน้ำลายตัวเอง  เอาแต่เคี้ยวกรอด ๆ อยู่นั่น เพราะฉะนั้น..ถ้ารู้เท่าทัน  เลิกเคี้ยวเสียก็หมดเรื่อง 
 
ถาม :  แต่ว่าจิตที่เป็นอุปาทาน ถึงแม้เราจะบอกอย่างไรก็ไม่เชื่อ ? 
ตอบ  :  นั่นแสดงว่ายังยึดอยู่  ในครั้งแรกถ้าปัญญาไม่พอ  จะไม่เห็นหรอก   ถึงเห็นบางทีก็ยังไม่ยอมรับ  ถึงแม้ยอมรับ แต่ถ้ากำลังสมาธิไม่มีไว้ช่วยในการตัดละ ก็เอาไม่อยู่   
 
เพราะฉะนั้น..เรื่องของ ศีล  สมาธิ ปัญญา เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องทำควบคู่กันไป  ย้ำตอกตะปูไปเรื่อย ๆ  ตักน้ำรดหัวตอไปเรื่อย เดี๋ยวก็เปียกเอง 
 
ถาม  :  แล้วถ้าบอกให้คิด ? 
ตอบ  :  เป็นทางที่ถูก แต่ไม่ใช่บอกเฉย ๆ   ให้เห็นจริง ๆ ด้วยว่า สิ่งรอบข้างมีปกติเป็นอย่างนั้น  ไม่ว่าจะไปทางไหน สิ่งใดที่กระทบ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ อะไรก็ตาม  ถ้าสามารถรู้เท่าทันและบอกได้ทุกครั้ง  ก็พอที่จะทำให้จิตเชื่อเราได้  แต่ถ้าหากรู้เป็นบางครั้ง ก็แปลว่ายังไม่เชื่อ  จึงต้องสร้าง สติ  สมาธิ  ปัญญา ให้เข้มแข็งมากขึ้น  เพื่อที่ไอ้ตัวแสบจะได้ยอมเชื่อ   แต่ถ้าเป็นตัวแสบจำเป็นก็ไม่ง่ายนะ ...(หัวเราะ)...  ค่อย ๆ  ย้ำ  ตอกตะปูไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็มิดไปเอง 
 
 
 
เทศน์ก่อนทำกรรมฐาน  ณ  บ้านอนุสาวรีย์ 
๔  กรกฎาคม  ๒๕๕๒
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
				........................ 
 
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง 
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
			 
		
		
		
		
		
			
				  
				
					
						แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-07-2014 เมื่อ 08:26
					
					
				
			
		
		
		
	
	 |