ความเป็นมาของการบวชชี
			 
			 
			
		
		
		
			
			แม่ชีจัดอยู่อุบาสิกาบริษัท  บริษัท  ๔  ของพระพุทธศาสนา  คือ  ภิกษุ  ภิกษุณี   อุบาสก  อุบาสิกา  แม่ชีจัดเป็นอุบาสิกาบริษัท  และที่อัศจรรย์ก็คือว่า    แม่ชีนั้นเริ่มมีขึ้นที่เมืองไทย 
 
สมัยการสังคายนาครั้งที่  ๓  ประมาณพุทธศักราชสองร้อยเศษ  พระเจ้าอโศกมหาราชส่งสมณทูตไปเผยแผ่ศาสนา  ๙  สายด้วยกัน  สายที่  ๘  มาที่สุวรรณภูมิ   โดยมีพระโสณะเถระและพระอุตระเถระเป็นหัวหน้าสาย   สมัยนั้นดินแดนสุวรรณภูมิมีพระเถระที่บวชกับพระพุทธเจ้า  ได้มาวางรากฐานพระพุทธศาสนาไว้ก่อนแล้ว ก็คือ พระปุณณะเถระ ในพระไตรปิฎกบอกว่าอยู่ที่  สุนาปรันตปะ (บางหลักฐานเขาเชื่อว่า สุนาปรันตปะ อยู่ที่จังหวัดเพชรบุรีค่ะ) 
 
การเผยแผ่พุทธศาสนาในสมัยก่อนเขาไม่ได้ทำส่งเดช  เขาต้องศึกษาข้อมูลมาดีพอสมควร  ว่าไปที่ไหนแล้วจะมีคนต้อนรับบ้าง  ไม่ใช่ว่าไปแล้วไม่มีอะไร  ไปเริ่มต้นนับหนึ่งนี่ไม่มีใครไปเผยแผ่หรอก   
 
เมื่อพระโสณะเถระและพระอุตระเถระ พร้อมด้วยคณะมาเยือนที่สุวรรณภูมิ   ท่านได้นำเอาพวกพราหมณ์และพวกราชครูปุโรหิตต่าง ๆ มาเผยแผ่วิชาการอื่น ๆ ด้วย  แต่ว่าขาดภิกษุณี   ในเมื่อไม่มีภิกษุณีที่สามารถเป็นปวัตตินี (พระอุปัชฌาชย์ของภิกษุณี) ถึงเวลาผู้หญิงเลื่อมใสแล้วเกิดอยากบวช    
 
ท่านก็เลยใช้วิธีให้โกนหัว  นุ่งขาวแล้วให้รับศีลแปด  ไว้รอภิกษุณีที่ตามมาภายหลัง เผื่อภิกษุณีที่ส่งตามมาภายหลังมีอายุพรรษาสมควรเป็นปวัตตินีได้  จะได้บวชให้  แต่คาดว่าต่อให้ส่งภิกษุณีมาก็บวชไม่ไหว   เพราะพระพุทธเจ้าท่านตั้งใจไม่ให้มีภิกษุณี 
 
ท่านบอกว่าถ้าผู้หญิงอยู่ในธรรมวินัยนี้แล้ว  พระธรรมวินัยจะดำรงอยู่ได้ไม่นาน สมัยนั้นเราอาจจะคิดไม่ถึง  แต่สมัยนี้เห็นชัด  ขนาดอยู่นอกวัดเขายังลากไปปู้ยี้ปู้ยำในวัด  แล้วท่านบังคับว่าภิกษุณีต้องอยู่ในอาวาสที่มีภิกษุด้วย  เพราะถ้ามีแต่ผู้หญิงจะโดนเขารังแกได้ง่าย   การที่ผู้หญิงกับผู้ชายอยู่ด้วยกัน ถ้าเป็นพระอริยเจ้าก็ไม่เป็นไร  แต่ถ้าเป็นปุถุชนแล้วเกิดไฟช็อตได้ง่าย..!    
 
ท่านก็เลยห้ามเอาไว้ว่า  ปวัตตินี  คือ บุคคลที่สามารถเป็นอุปัชฌาย์ได้ต้องมีพรรษาพ้น  ๒๐ ไปแล้ว   กว่าจะพรรษาที่  ๒๐  นี่ตายแน่..! บวชได้ปีละ ๑ รูปและบวชได้ปีเว้นปี  ก็แปลว่าสองปีบวชได้  ๑ รูป  สี่ปีบวชได้  ๒ รูปเท่านั้น   
 
เหตุที่ภิกษุณีสูญไปเพราะเหตุนี้  เนื่องจากว่า กว่าจะรอได้อายุพรรษาประการ  ๑  รอจนกว่าจะบวชได้ประการ  ๑    บางทีพระอุปัชฌาย์ตายก่อน  พอดีก็ไม่ต้องบวชเลย 
 
เมื่อเป็นดังนั้น พระโสณะเถระและพระอุตระเถระพร้อมด้วยคณะ  ท่านก็เลยให้บวชเป็นชีก่อน  แล้วก็ให้อยู่รวมกันในอารามที่เมืองทวาราวดีนั้น  ชื่อว่าสำนักประชุมนารี  ปัจจุบันยังเป็นสำนักแม่ชีใหญ่อยู่ที่ราชบุรี  ใครอยากรู้ว่าสำนักแม่ชีที่สืบเนื่องมาสองพันกว่าปี  หน้าตาเป็นอย่างไรก็แวะไปดูได้   สอนมโนมยิทธิด้วย  เพราะว่าวัดท่าซุงมีงานเมื่อไร  สำนักนี้จะขนคนขนของไปช่วยทันที เขาเลื่อมใสหลวงพ่อวัดท่าซุงมาก 
 
ถาม : สามเณรีคืออะไร ? 
ตอบ : สามเณรี คือบุคคลที่ตั้งใจจะบวชเป็นภิกษุณีนี่แหละ  แต่อายุยังไม่ถึง  ๑๘  ปี  ก็บวชเป็นสามเณรีถือศีลแปดไปก่อน    
ถ้าอายุถึง ๑๘  ปี ปฏิบัติตนเป็นสิกขมานา  คือ ผู้ที่เตรียมบวชเป็นภิกษุณี  ๒  ปี  โดยการถือศีล  ๖   (ศีล  ๕ บวกข้อวิกาลโภชนา)   ถ้าหากว่าภายในสองปีศีลไม่บกพร่องเลยก็อนุญาตให้บวชได้  แต่ต้องรอพระอุปัชฌาย์ ดังนั้น...ถ้าเราได้ยินสามเณรีหรือสิกขมานาแล้วอาจจะสงสัย ก็ให้เข้าใจว่าเป็นบุคคลที่จัดอยู่ในอุบาสิกาบริษัทอย่างหนึ่ง  รอจนกว่าจะบวชเป็นภิกษุณีบริษัทได้ 
 
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า  ไม่มีใครทำลายพุทธศาสนาได้  นอกจากพุทธบริษัท  ๔  เท่านั้น  ก็แปลว่าถ้าพวกเราไม่ได้รักษาพระพุทธศาสนา  ไม่ได้ประพฤติในศีล  สมาธิ  ปัญญา  เราเองนั่นแหละ  จะเป็นผู้ทำลายพระพุทธศาสนาเสียเอง 
 
คนอื่นเขาทำอะไรไม่ได้หรอก  ต่อให้ฆ่าพระหมดทั้งประเทศหลักธรรมก็ยังอยู่    ดังนั้น...บุคคลที่จะทำลายพระพุทธศาสนาที่สำคัญที่สุดก็คือ พุทธบริษัท  ๔  ท่านบอกว่าเหมือนกับสนิมเหล็กที่เกิดจากเนื้อในของเหล็ก แล้วกัดทำลายเหล็กนั้นจนกร่อนไป" 
 
 
เทศน์ที่บ้านอนุสาวรีย์ 
๔  มิถุนายน  ๒๕๕๒
		 
		
		
		
		
		
		
			
				__________________ 
				........................ 
 
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง 
 จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
			 
		
		
		
		
		
			
				  
				
					
						แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-08-2013 เมื่อ 02:39
					
					
				
			
		
		
		
	
	 |