ทุกคนต้องจำให้แม่นว่า ลมหายใจเข้าออกหรืออานาปานสตินั้น เป็นพื้นฐานใหญ่ของกองกรรมฐานทั้งปวง ถ้าขาดลมหายใจเข้าออก การปฏิบัติภาวนาของเราจะไม่มีผล โดยเฉพาะจะไม่มีกำลังในการตัดกิเลส เราจึงไม่สามารถที่จะทิ้งลมหายใจเข้าออกได้
เมื่อลมหายใจเข้าออกทรงตัว แผ่เมตตาจนเต็มที่แล้ว ก็ให้ทุกคนคลายกำลังใจออกมาพิจารณา ให้เห็นความไม่เที่ยงของร่างกายนี้ ว่ามีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์ ประกอบไปด้วยทุกข์ของการเกิด ทุกข์ของการแก่ ทุกข์ของการเจ็บ ทุกข์ของการตาย ทุกข์จากการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ทุกข์ของการปรารถนาไม่สมหวัง ทุกข์ของการกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ เป็นต้น
และท้ายที่สุด ร่างกายนี้ก็ไม่สามารถที่จะรักษาเอาไว้ให้มั่นคงยั่งยืนได้ ต้องเสื่อมสลายตายพัง กลับคืนเป็นสมบัติของโลกไปตามเดิม ไม่มีอะไรเป็นตัวตนยึดถือมั่นหมายได้ ตัวเราก็เป็นเช่นนี้ คนอื่นก็เป็นเช่นนี้ เมื่อเห็นชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ก็เอาจิตเกาะภาพพระหรือเกาะพระนิพพานไว้ ตั้งใจว่าถ้าเราตายลงไปเพราะหมดอายุขัยก็ดี หรือเกิดอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ จนถึงแก่ชีวิตก็ดี เราขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระนิพพานแห่งเดียว
ลำดับต่อจากนั้น ถ้าหากว่ายังมีลมหายใจเข้าออกอยู่ ก็กำหนดดู กำหนดรู้ ลมหายใจเข้าออกของเรา ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ ก็กำหนดคำภาวนาควบไปด้วย ถ้าลมหายใจเบาลงหรือหายไป คำภาวนาหายไป ก็ให้กำหนดรู้ว่า ขณะนี้เป็นเช่นนั้น ขอให้ทุกคนรักษากำลังใจเช่นนี้เอาไว้ จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-11-2014 เมื่อ 01:56
|